Fiction : คู่ป่วนสืบคดีพิศวง
Title : ตอน สัมพันธ์ลับๆ
Author : มิดไนท์-Sama
Pairing : เส้าตี๋อวี้ x อวี๋อิน
Rating : R-18
Warning : เนื้อหาเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
Note : เคยยืมเรื่องคู่ป่วนฯ ของเพื่อนตอนมัธยมมาอ่านแล้วสนุกดีค่ะ จิ้นคู่ อวี้อิน มาตั้งแต่ตอนนั้น พอขึ้นมหา’ลัยแวะเข้าห้องสมุด เพื่อนใหม่บังเอิญหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาให้ดู เราถึงกับตาโต ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากที่มีเรื่องนี้อยู่ด้วย เลยจัดการยืมมาอ่านซะ ไปๆมาๆจินตนาการวายๆก็พุ่งกระฉูดท่วมท้นเต็มหัวสมองอีกครั้ง จึงทำให้บังเกิดฟิคนี้ขึ้นมา... ปล.อาอินเคะนะคะ(เพราะเผอิญมีคุณสมบัติเคะในดวงใจของมิดค่อนข้างเยอะมาก----นั่นเอง Y(=w=)Y ฮุๆ)
Short FanFiction (One Short)
คู่ป่วนสืบคดีพิศวง ตอน สัมพันธ์ลับๆ
มันอาจเป็นความผิดพลาด
ถ้าหากคืนนั้นอวี๋อินไม่ไปเที่ยวผับเปิดใหม่ตามคำชวนของเหล่าเพื่อนฝูงที่ไม่ได้ออกเที่ยวด้วยกันมานานละก็
ถ้าหากคืนนั้นเขาไม่รับเครื่องดื่มมาจากสาวแปลกหน้าละก็
ตื่นมายามสายของวันใหม่ อาการเมาค้างเล่นงานศีรษะจนปวดตุบ
ทั้งที่คิดว่าเมื่อคืนไม่ได้ดื่มจนเมามายไร้สติแบบนั้นแท้ๆ
แต่ทำไมเหมือนจะลืมเรื่องสำคัญอะไรไปบางอย่าง
อวี๋อินยันกายลุกขึ้นนั่ง
พลันความรู้สึกปวดร้าวจากบั้นเอวแล่นแปล๊บขึ้นมาตามไขสันหลังจนต้องงอตัว
ลมเย็นแผ่วจากเครื่องปรับอากาศพัดกระทบผิวกายจนต้องกอบโกยผ้าห่มผืนหนามาคลุมร่างอันเปลือยเปล่า
อวี๋อินจำไม่เคยได้ว่าเขามีนิสัยชอบแก้ผ้าเวลานอนตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้วยิ่งการเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อล่อให้เหล่าเพื่อนเกลอมาชุมนุมกันด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
แต่โชคดีที่ดวงตาไม่เที่ยงของเขาไม่เห็นอะไรในห้องที่ปิดม่านสนิทพอให้แสงลอดผ่านเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยในวันนี้
หรือเป็นเพราะว่ามันเช้าจนเรียกได้ว่าสายกันแน่นะ?
อวี๋อินเลิกที่จะคิดใส่ใจกับเรื่องของเพื่อนเกลอที่ไม่ได้อยากจะพบเจอะเจออะไรกันนัก
เขาสะบัดหัวไล่ความมึนเมาสักสองสามทีพลางกวาดตามองรอบห้องอันแสนคุ้นเคย... ไม่สิ
คงเรียกว่าคุ้นเคยไม่ได้ เพราะว่าห้องที่เขาอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ห้องนอนของเขา!
“เกิดอะไรขึ้น” ในขณะที่อวี๋อินกำลังหวั่นวิตก
แรงขยับยุกยิกใต้ผ้าห่มข้างกายเรียกความสนใจทั้งหมดของเขาได้เป็นอย่างดี
ภายในใจภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด
การนอนเปลือยกายอยู่บนที่นอนของใครสักคนแบบนี้มันเป็นลางไม่ดีเอาซะเลย
“อือ ตื่นแล้วเหรออาอิน”
ห้องของเส้าตี๋อวี้! น้องชายจำเป็นของเขานั่นเอง!!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น อย่าบอกนะว่า...”
อวี้พยักหน้าช้าๆพลางหาวหวอดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใดพร้อมกับลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป
ความเงียบภายในห้องตอนนี้กำลังทำให้อวี๋อินฟุ้งซ่าน
ว่าแต่เมื่อคืนเขาจัดหนักไปท่าไหนบ้างนะ ตัวเองถึงได้รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวแถมยังเหนอะหนะได้ขนาดนี้
ทั้งๆที่คู่กรณีอย่างอวี้ดูไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเดิมเลยแท้ๆ
“...อิน ...อาอิน อาอิน!”
“โผล่มาทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง!”
อวี๋อินตกใจผงะถอยหลังเมื่อรู้สึกตัวอีกทีว่าใบหน้าของเจ้าเด็กที่น่าจะเข้าห้องน้ำอยู่เมื่อครู่โผล่มาใกล้จนจมูกแทบจะชนกันอยู่แล้ว
“เรียกแล้ว”
ตอบสั้นๆพร้อมกับหันหลังไปรื้อค้นเสื้อผ้าในตู้เป็นการตัดประโยคสนทนา
อวี๋อินถอนหายใจเฮือกใหญ่
พลางคิดว่าอย่างน้อยขอไปอาบน้ำล้างตัวให้สดชื่นสักนิดแล้วหลังจากนี้ค่อยเรียกอวี้ให้มาจับเข่าพูดคุยกันก็ยังไม่สาย
แต่ทันทีที่อวี๋อินลุกขึ้นเดินไปได้เพียงสองถึงสามก้าวเขาก็แทบทรุด
เมื่อความเจ็บจากเบื้องล่างตรงส่วนเร้นลับจู่โจมไปทั่วทั้งร่างกายให้หมดเรี่ยวแรง
อวี๋อินคลำมือลูบป้อยตรงส่วนต้นเหตุขึ้นมาดูถึงได้พบกับคราบขาวขุ่นจำนวนหนึ่งซึ่งปนเปื้อนของเหลวสีน้ำตาลเข้ม
ไม่จำเป็นต้องให้มีใครมาบอกว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร
พลันในหัวอวี๋อินเหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูง
นี่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายเสียบแต่เป็นฝ่ายถูกเสียบหรอกเรอะ!!!
“อวี้!!!” อวี๋อินตะโกนเรียกชื่ออวี้ด้วยความกรุ่นโกรธ
จ้องมองคนที่ยังคงแต่งตัวด้วยท่าทีสบายๆอย่างคาดคั้นหวังคำตอบกระจ่างชัดออกมาจากเรียวปากบางอันนั้น
อวี้เหล่มองอวี๋อินเพียงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างเอือมระอา
“เมื่อคืนไปทำอะไรที่ไหนไว้ล่ะ ถึงได้กลับมาสภาพแบบนั้น”
คำพูดของอวี้ที่เอ่ยออกมาชวนให้คิด
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยจึงเดินไปหยิบผ้าห่มผืนหนาที่ถูกกองทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาคลุมร่างของผู้ที่ปัจจุบันนี้อยู่ในสถานะพี่ชายของตน
เขาพยุงอวี๋อินให้ลุกขึ้นไปนั่งบนเตียงนอนแทนที่จะให้ทรุดลงนั่งกับพื้นอยู่อย่างนั้น
“วันนี้ถงกับเซี่ยไปทำงานแต่เช้าทั้งคู่
ไม่ต้องห่วง นอนพักซะ” อวี้ดันพี่ชายตนให้นอนราบลงกับเตียงพร้อมจัดแจงผ้าห่มให้เข้าที่
อวี๋อินที่ตอนแรกทำท่าจะขัดขืนแต่เมื่อนึกถึงสภาพของตัวเองที่แม้แต่แรงจะเดินยังไม่มีจึงยอมล้มนอนอย่างว่าง่าย
ตอนนี้อวี้ออกนอกห้องไปแล้วเหลือเพียงแต่อวี๋อินเท่านั้น
เขาพยายามคิดทบทวนถึงทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดที่ผ่านมาเมื่อคืน
เท่าที่เขาจำได้คร่าวๆก็คือตัวเขาและเหล่าผองเพื่อนพากันไปเที่ยวผับเปิดใหม่แห่งหนึ่ง
หลังจากสนุกกันไปหลายชั่วโมงก็มีสาวมาปิ๊งเขาจนถึงขนาดสั่งเครื่องดื่มให้บริกรยกมาให้
ส่วนไอ้เขาของฟรีใครมันจะทนไหวส่งสายตาให้สาวคนนั้นเล็กน้อยก่อนจะคว้าแก้วมาโซ้ยอย่างเต็มคราบ
พอดูนาฬิกาจึงเห็นว่าดึกมากแล้วเลยรีบบึ่งมอเตอร์ไซค์กลับ
เมื่อถึงบ้านเขาก็จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ในที่ประจำแต่จู่ๆร่างกายก็เกิดร้อนวูบวาบขึ้นมากะทันหัน
แล้วหลังจากนั้นก็... จำไม่ได้แฮะ อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เมากลับมาแน่นนอน
ตรู๊ดดดด
ตรู๊ดดดด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อวี๋อินสอดส่ายสายตาหาที่มาของต้นเสียงจนพบ
เขาแทบจะต้องคลานลงไปหยิบมันออกมาจากกางเกงของตนเองที่กองหมดสภาพอยู่บนพื้น
“ว่าไง”
[เฮ้ย ตอนนี้อยู่ที่ไหน
เป็นอะไรมากรึเปล่า!]
“อะไรของนายเนี่ยอากวาน ตอนนี้ฉันก็ต้องอยู่ที่บ้านน่ะสิ”
[เฮ้อ นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
นี่จะบอกอะไรให้นะ เมื่อคืนฉันปวดท้องกะทันหันจนต้องรีบเข้าห้องน้ำนายก็รู้ใช่มะ
แล้วฉันเผลอไปได้ยินเรื่องสยองมาด้วยละ]
“เรื่องอะไรของนาย ถ้าไร้สาระจะวางแล้วนะ”
“นั่น...จริงเหรอ”
อวี๋อินอยากจะตะโกนเหลือเกินว่าโล่งใจกับผีสิ
ถ้าสิ่งที่อากวานได้ยินไม่ผิดที่ว่าพวกนั้นเป็นสาวประเภทสอง งั้นอาการร้อนวูบวาบตอนกลับมาถึงบ้านนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าน้ำแก้วนั้นต้องผสมสิ่งนั้นแน่ๆ
แล้วบางทีตัวเขาอาจจะไปทำอะไรที่มิควรกับอวี้ อย่างน้อยอวี๋อินก็ค่อยโล่งใจไปได้หนึ่งเปราะ
เพราะว่าฝ่ายที่เสียหายหนักสุดคงเป็นเขาไม่ใช่อวี้
ไม่อย่างนั้นเขาคงทำอะไรไม่ถูกแน่ เอ หรือเขาควรจะเสียใจดี
เพราะความเป็นเอกราชของเขาก็ถูกอวี้พรากไปแล้วเช่นกัน
ไม่ว่าทางไหนก็น่าเศร้า...
[เฮ้ อาอิน ยังอยู่ไหมเนี่ยอาอิน!]
“อืม ขอบใจก็แล้วกัน แค่นี้นะ”
และแล้วสายก็ตัดไปพอดีกับที่ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยน้ำมือของเสี่ยวอวี้
กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยลอยคละคลุ้งตลบอบอวนอยู่ในอากาศ
กระเพาะของอวี๋อินเริ่มส่งเสียงโครกครากอย่างประท้วงที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า
เขารับข้าวต้มมาจากอวี้แล้วเริ่มรับประทานอย่างช้าๆจนกระทั่งหมดถ้วยพลางคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
จนท้ายที่สุดอวี๋อินก็ตัดสินใจเรียกอวี้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะให้หันมา
เขาตัดสินใจแล้ว
“ขอโทษด้วยสำหรับเรื่องเมื่อคืน”
อวี้ยังคงนิ่งเงียบปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป
“เมื่อคืนจำไม่ได้จริงๆ ว่าเกิดอะไรแบบไหนขึ้นบ้างระหว่างเราทั้งคู่
แต่ขอให้เรื่องทั้งหมดมันจบลงได้ไหม พวกเราจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม”
หลังจักอวี๋อินพูดจบ
ความเงียบเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งคู่จนคนร่างสูงเริ่มใจไม่ดี
อวี้ปิดหน้าหนังสือที่อยู่ในมือลงวางกับโต๊ะ เสียงเท้าก้าวเดินเริ่มเข้ามาใกล้อวี๋อินมากขึ้นเรื่อยๆ
ฝ่ามือติดเย็นเล็กน้อยของอวี้ข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกลี่ยบริเวณแก้มของอวี๋อินอย่างแผ่วเบา
“ขอปฏิเสธ”
คำตอบเกินความคาดหมายหลุดออกมาจากริมฝีปากของอวี้
“เมื่อคืนนายโดนยาแล้วล้มอยู่ตรงหน้าห้อง
วิธีแก้อาการของนายก็มีแต่ฉันเลือกที่จะเป็นฝ่ายฉุดนายเข้าห้อง
เพราะฉะนั้นจะไม่ยอมปล่อยให้มันจบลงแบบนี้หรอกนะ พี่-อา-อิน” ประโยคท้ายสุดอวี้เน้นเสียงช้าๆ ชัดๆ
คล้ายจะประชดประชันพร้อมเผยร้อยยิ้มน่ารักตรงมุมปากเล็กน้อย
อวี๋อินที่ได้ยินคำตอบที่ไม่คาดฝันเบิกตาโต ความจริงไม่คาดฝันหลุดออกมาจากปากอวี้
เขาไม่ได้เป็นฝ่ายขืนใจอวี้ แต่อวี้ต่างหากที่เป็นฝ่ายฉวยโอกาสตอนเขาโดนยาปลุกขืนใจเขา
ไม่สิ คงจะบอกว่าอวี้ขืนใจเขาคงไม่ถูกนัก
เพราะตัวของเขาเองตอนนั้นคงให้ความร่วมมือกับอวี้เป็นอย่างดีแน่ๆ
อวี้ที่เห็นอวี๋อินนั่งเหม่อจึงโน้มหน้าลงไปหอมแก้มอาอินฟอดหนึ่งอย่างปลอบใจ
เสียงที่อวี๋อินคิดว่าไพเราะกระซิบแผ่วอยู่ข้างหู “นอนพักซะอาอิน” เหมือนดั่งโดนมนต์สะกด
อวี๋อินค่อยๆ ลุกขึ้นตามแรงพยุงของอวี้เล็กน้อยแล้วล้มตัวลงนอน
หนังตาของเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ปิดลงมา
อวี๋อินหลับไปแล้ว
อวี้นั่งมองผู้ที่อยู่ในฐานะพี่ชายพร้อมกับเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกลงมาปิดหน้าให้ออกไป
อวี้นั่งลูบไล้ใบหน้านั้นอยู่สักพักจึงจัดแจงผ้าห่มให้เข้าที่พร้อมเอื้อมมือไปปิดเครื่องทำความเย็นเพื่อให้อวี๋อินไม่นอนหนาวจนไม่สบาย
ตื่นมาอีกที่ก็เกือบบ่ายแล้ว
อวี๋อินรู้สึกสบายตัวมากและพบว่าอวี้คงเป็นคนเช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าให้เขา
บนหัวเตียงมีน้ำหนึ่งแก้วและแผงยาแก้ปวดวางอยู่บนนั้น หลังจากได้พักผ่อนอาการปวดในคราแรกที่ตื่นมาแลดูจะบรรเทาลงเล็กน้อย
อวี๋อินจึงกรอกยาเข้าปากหนึ่งเม็ดแล้วตามด้วยน้ำ ส่วนแผงยาที่เหลือเขาเก็บมันไว้ในห้องของตัวเอง
เมื่อเดินวนรอบบ้านจึงพบว่าตอนนี้มีเขาอยู่ในบ้านเพียงคนเดียว
“อวี้หายไปไหนนะ” ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่ในใจกลับรู้สึกโล่งที่ไม่ต้องเจอหน้าอวี้ในตอนนี้
เขาคงต้องใช้เวลาทำใจสักหนึ่งวันกับความสัมพันธ์ใหม่ที่ปุบปับก็เกิดขึ้นแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
แถมยิ่งเจ้าตัวการยังไม่มีทีท่าสำนึกผิดแบบนั้นอีก
อวี๋อินไม่เข้าใจเลยว่าอวี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือเพราะเข้าสู่วัยอยากรู้อยากลองแล้วกันนะ
ตกเย็นพ่อใหญ่กลับบ้านเข้าครัวทำอาหารเป็นกิจวัตร
ไม่นานนักอวี้ซึ่งหายไปไหนไม่รู้ทั้งวันก็กลับมา
อวี๋อินกับอวี้สบตากันพักหนึ่งพักเดียว สุดท้ายคนที่ต้องหลบตากลับเป็นเขาแทน
“ถ้ายังทำตัวแปลกๆ
อยู่แบบนี้เดี๋ยวก็ถูกจับได้หรอก” ข้อความที่ถูกพิมพ์ลงบนมือถือถูกยื่นมาให้
อวี๋อินสะบัดหัวสองสามทีก่อนจะปรับสีหน้าให้เหมือนปกติ
แต่มันช่างทำได้ยากเย็นซะเหลือเกิน
ตกดึกอวี๋เซี่ยถึงได้กลับบ้านมา
เป็นเวลาพอดีกับที่อวี๋ถงเริ่มตั้งโต๊ะอาหาร
ไม่นานนักการกินข้าวพร้อมหน้าครอบครัวในมื้อเย็นซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนักจึงเริ่มขึ้น
อวี๋เซี่ยและอวี๋ถงต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ในคดีที่ตนรับผิดชอบ
วันนี้ลูกชายของตนดูสงบเสงี่ยมกว่าปกติ ไม่แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นเหมือนเช่นเคย ทำให้ทั้งคู่แปลกใจเล็กน้อย
“อาอิน รอยตรงคอแกไปโดนอะไรมา”
อวี๋เซี่ยที่ลอบสังเกตอวี๋อินมาครู่ใหญ่เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นรอยแดงเล็กๆ
หนึ่งรอยบริเวณต้นคอของอาอินพลันเอื้อมมือไปจับเพื่อมองดูให้แน่ชัด
อวี๋อินสะดุ้งเผลอปัดมือนั้นออกอย่างแรงตามสัญชาตญาณ
การกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ดูเหมือนจะทำให้อวี๋เซี่ยและตัวเขาเองตกตะลึงไม่น้อย
ทันใดนั้นอวี๋อินก็สัมผัสได้ถึงรังสิอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของพ่อรอง โดยไม่ทันตั้งตัวเขาก็โดนพ่อรองกระชากมาอัดจนน่วมซะแล้ว
“นี่แก...”
ระหว่างที่อวี๋เซี่ยกำลังกระชากคออวี๋อินมาอัดอย่างเมามันอยู่นั้น จู่ๆ
กลับชะงักกำปั้นลงแล้วผละตัวออกไป “เซี่ยเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันกับอาอิน
ส่วนอวี้กินข้าวเสร็จแล้วขึ้นห้องไปซะ”
ตอนนี้อวี๋อินกำลังนั่งก้มหน้าเหงื่อตกอยู่บนโซฟาห้องรับแขก
โดยตรงหน้ามีชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าๆที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบติดที่ว่าอีกคนใส่แว่นอยู่กำลังนั่งจ้องหน้าเขา
“เซี่ย มีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ” อวี๋ถงเป็นฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นสนทนา
“อาอิน เมื่อคืนแกไปทำอะไรกับใครมา”
อวี๋เซี่ยถามอย่างตรงประเด็นไร้การอ้อมค้อมใดๆ ทั้งสิ้น
อวี๋อินทำท่าอึกอักไม่อยากตอบแต่เมื่อเหลือบตาขึ้นมองสายตาทิ่มแทงที่บ่งบอกว่า
‘ถ้าแกไม่ตอบล่ะก็ตายแน่’
ของพ่อรองแล้วจึงจำใจต้องเอ่ยปากตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เมื่อคืนผมไปผับ แล้ว...”
อวี๋ถงไม่ใช่คนโง่
เมื่อรวมเรื่องราวที่เกิดบนโต๊ะอาหารกับตอนนี้เข้าด้วยกันแล้วจึงเดาได้ไม่ยากเลยว่าลูกของตัวเองได้ทำอะไรลงไป
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในเมื่ออวี๋อินก็เป็นวัยรุ่นเต็มตัวแล้ว
เรื่องแบบนี้อาจจะอยากรู้อยากลองก็ได้ แต่สิ่งที่อวี๋ถงเป็นห่วงอย่างเดียวก็คือ
“ได้ป้องกันหรือเปล่า”
อวี๋อินเกือบจะส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ
แต่ก็ยับยั้งเอาไว้ได้จึงเลือกพยักหน้าแทนคำตอบ พ่อใหญ่และพ่อรองยังไม่รู้ความสัมพันธ์ของเขากับอวี้
และตอนนี้คงนึกว่าเขาไปมีอะไรกับผู้หญิงตามผับ
เขาไม่อยากโกหกพ่อทั้งสองแต่ยังไม่พร้อมที่จะบอกทั้งคู่ตอนนี้
และไม่รู้ว่าจะพร้อมบอกตลอดไปเมื่อไหร่ด้วย
ท่าทางมีพิรุธจับสังเกตง่ายของอวี๋อินทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเลือกที่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเราจะทำยังไงล่ะอาอิน”
อวี๋ถงถาม
“ผมจะรับผิดชอบเองครับ”
เขาไม่ได้โกหกเรื่องรับผิดชอบจึงตอบไปอย่างแน่วแน่
ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเผลอทำผู้หญิงท้องล่ะก็เขาจะรับผิดชอบแน่ๆ แต่ ณ
เวลานี้...อวี๋อินต่างหากที่อยากจะหาคนมารับผิดชอบเอกราชของเขา!
ไม่สิ...คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า เพราะเขาไม่ได้ต้องการแฟนเป็นผู้ชาย!
และแล้ววันนั้นก็ผ่านพ้น
ทุกๆวันดำเนินไปเหมือนปกติ ช่วงนี้พ่อใหญ่และพ่อรองไม่ค่อยมีคดีหนักหนาสาหัสมากนักจึงทำให้กลับบ้านกันได้เร็วมากขึ้น
อวี๋อินเองช่วงนี้ก็ไม่มีเพื่อนเกลอโผล่มารบกวนให้พบปะกับเรื่องสยองขวัญเท่าไหร่นัก
ส่วนอวี้ก็ทำตัวตามปกติ จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง...
ในวันนั้นเป็นยามเย็นที่ไกล้จะลาลับฟ้าเต็มที
ท้องฟ้าสีส้มเริ่มถูกสาดทับด้วยสีดำสนิท พ่อใหญ่และพ่อรองต่างมีคดีใหญ่ต้องสะสาง ทำให้ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันเหมือนปกติ
อวี๋อินและอวี้เก็บถ้วยชามไปล้างหลังจากรับประทานก๋วยเตี๋ยวที่บึ่งไปซื้อหน้าปากซอยเสร็จแล้ว
อวี๋อินเดินขึ้นบันได้เพื่อไปพักผ่อนร่างกายอันเหนื่อยล้าจากการเรียนและการตะลอนเที่ยวกับเพื่อนฝูง
แต่ทว่าจู่ๆ ก็มีแรงดึจากปลายเสื้อทำให้ต้องหันไปมอง เป็นอวี้นั่นเอง
“อวี้ มีอะไร” ถามออกไปด้วยความสงสัย
ดวงตาสีม่วงอันยากจะคาดเดาว่าเจ้าของๆมันกำลังคิดอะไรมองนิ่งลึกเข้ามาในดวงตาของอวี๋อิน
ไม่ทันให้เอ่ยถามอีกรอบเพราะอีกฝ่ายกลับเปิดปากขึ้นมาซะก่อน
“มาทำกันเถอะ”
“หา?!”
“มาทำกันเถอะ” อวี้พูดซ้ำอีกรอบพร้อมโถมตัวเข้าไปกอดเอวอวี๋อินแน่น
แล้วส่งสายตาออดอ้อน อย่างรู้ทันว่าคนตรงหน้าต้องแพ้อะไรแบบนี้ของตัวเองแน่นอน
อวี๋อินชะงักพร้อมด้วยท่าทางลังเล
จะตอบปฏิเสธไปด้วยความเด็ดขาดแต่มันก็ปลิวหายไปไหนไม่รู้ ด้วยสายตาแบบนั้น
และท่าทางการอ้อนแบบนี้ มันทำให้...เขาเผลอใจอ่อน
.
.
“อา” เสียงครางแผ่วเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากได้รูป
ตอนนี้เสื้อผ้าของอวี๋อินเริ่มหลุดลุ่ยด้วยน้ำมือของคนอายุน้อยกว่า
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำกับอีกฝ่ายโดยที่ตนเองยังมีสติครบถ้วน ทำให้รู้สึกหวั่นใจและขัดเขินมากเมื่อมีฝ่ามือเริ่มทำการรุกล้ำจาบจ้วงบริเวณหน้าอก
และกำลังเลื้อยไต่ไปยังเบื้องล่าง
“พ...พอ ไม่เอาแล้ว” อวี๋อินจิกไหล่อวี้แน่นพร้อมกับผลักออกเมื่อนิ้วมือเรียวเล็กเริ่มทำการเย้าแหย่กับช่องทางเบื้องหลังของเขา
แต่มันก็ไม่ได้ผลเมื่ออวี้โถมแรงรุกเข้ามาอย่างดื้อดึง
มือและปากของอวี้ต่างทำงานสอดประสานกันปลุกระดมร่างกายของอวี๋อินจนอ่อนระทวยไร้แรงขัดขืน
และแล้วร่างทั้งสองร่างจึงเริ่มสอดประสานกันอย่างเนิบช้า
และแผ่วเบา สัมผัสอ่อนโยนในทีแรกเริ่มถาโถมแรงขึ้นในตอนหลังเมื่ออวี้หมดความอดทนที่จะต้องถนอมอวี๋อินเอาไว้
ครั้นสุดปลายทางของฝั่งฝัน อวี้โน้มตัวลงมากัดลาดไหล่แกร่งของอวี๋อินอย่างแรงจนเกิดเป็นรอยฟันลึกพร้อมกับการกระตุกร่างเกร็งเพื่อปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นไปเติมเต็มช่องทางที่เริ่มบอบช้ำจากการเสียดสีกันมานานของอวัยวะที่แตกต่าง
อวี๋อินนอนหอบหายใจรวยริน
รู้สึกโล่งเมื่อสิ่งใหญ่โตบางอย่างที่ล่วงล้ำเข้ามาถูกถอนออกไป
อวี้ล้มตัวลงนอนกอดคนร่างสูงกว่าเอาไว้แล้วโน้มกายลงไปประทับจูบดูดดื่ม
ต่างคนต่างผลัดกันแลกลิ้นที่เต็มไปด้วยตัณหาอย่างหลงลืมความผิดชอบชั่วดี
และแล้วในคืนนั้นอวี๋อินก็โดนโอบกอดอีกครั้งจากน้องชายต่างสายเลือดนามเส้าตี๋อวี้
เขากำลังจมดิ่งสู่ห้วงลึกจนยากที่จะถอนตัว
เหมือนโดนมนต์สะกดจากนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้น
จากคืนนั้นหลายครั้งหลายคราที่อวี้ขอมีอะไรกับเขาด้วย
แต่ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่เขาจะปฏิเสธอวี้ได้ลง นี่อวี้ทำอะไรกับเขากันแน่
“...อิน... อาอิน...อาอิน!”
“ม...มีอะไร!”
อวี๋อินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนอากวานสะกิดขณะนั่งอยู่ในโรงอาหาร
“โธ่ เพื่อนเอ๋ย ก็นายนั่งเหม่อ กัดช้อน
แถมยังหน้าแดง ทำหน้าอย่างกับคนมีความรักแน่ะ”
“เปล่าซะหน่อย!”
“เอ้า ถ้าไม่ใช่ทำไมต้องเสียงดังด้วยเล่า
ฮันแน่...อย่างนี้แสดงว่านายมีคนที่แอบปิ๊งแน่เลยใช่มัา
เดี๋ยวนี้แอบมีความลับกับเพื่อนเหรอไง”
“บ้าน่า ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ไปก่อนล่ะ บาย”
อวี๋อินรีบผุดลุกขึ้นเก็บเศษซากอาหารที่ทานเหลือไปทิ้งโดยไม่สนใจเสียงอากวานที่ตะโกนไล่หลังมาว่า
‘จะหนีรึไง’ แม้แต่น้อย
“ความรัก...งั้นเหรอ” พึมพำกับตัวเองแผ่ว
เขาไม่เคยรู้จักความรักอย่างอื่นนอกจากคนในครอบครัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วความรักของวัยรุ่นผู้ชายกับผู้ชายมันหน้าตาเป็นอย่างไร อาการที่เขากำลังเป็นอยู่นี้มันจะเรียกว่าความรักได้หรือเปล่า
หรือจะเป็นแค่ความลุ่มลงกันทางกายเท่านั้น
ในช่วงวัยรุ่น
มีใครหลายคนมักเข้าใจผิดและแยกแยะไม่ออกระหว่างความรักและความหลง
สองสิ่งนี้ถ้าไม่คิดไตร่ตรองให้ดีมันสามารถทำให้คนเราเข้าใจผิดกันได้ง่ายๆ
แล้วตัวเขาล่ะ...ตอนนี้จัดอยู่ในประเภทไหนกัน
“อืม ...วันนี้สองคนนั้นไม่กลับบ้านนะ”
อวี้ปิดโทรทัศน์ที่ดูอยู่เดินมาหาอวี๋อิน ไม่จำเป็นต้องพูดต่อความยาวสาวความยืด
ดั่งมีแม่เหล็กดูดให้ทั้งคู่ถาโถมเข้าใส่กันอย่างรวดเร็ว อวี้ทั้งกอด จูบ ลูบ คลำ
ส่วนอวี๋อินก็ไม่น้อยหน้ากันเท่าไหร่นัก
พอรู้สึกตัวอีกทีทั้งสองก็ไร้เสื้อผ้าปิดกายอยู่บนเตียงนอนของอวี๋อินซะแล้ว
บทเริงรมย์เร่าร้อนตลบอบอวลไปทั่วห้องโดยไม่สนใจสิ่งใดๆ
แม้กระทั่งกระทั่งเสียงรั้วประตูบ้านถูกเปิดออกก็ตามที
อวี๋ถงกับอวี๋เซี่ยกลับมาแล้ว
เนื่องจากวันนี้คดีที่ทั้งคู่ต่างรับผิดชอบเสร็จเร็วกว่ากำหนดอยู่มากโข ทั้งคู่จึงกลับบ้านมาพร้อมกัน
แต่ทว่าเมื่อเข้าบ้านมาสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เด็กทั้งสองของครอบครัวอวี๋ในยามนี้ปกติแล้วจะต้องอยู่เดินเพ่นพ่านไปรอบบ้านเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้านอน
แต่ในวันนี้กลับดูว้าเหว่ไร้เงาคน พลันเสียงบางอย่างแผ่วลอยมาตามสายลม
ยิ่งนายตำรวจอวี๋ทั้งสองเดินเข้าใกล้เสียงนั้นก็ยิ่งได้ยินแจ่มชัด
มันเหมือนกับเสียงครวญครางของบางอย่างจากห้องของอาอิน
บางทีอาจมีศัตรูของอาอินบุกเข้ามาทำร้าย
เพราะเจ้าเด็กตัวดีคนนี้มักชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสมอ
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กคนนี้ถูกข่มขู่หรือลอบเข้ามาทำร้ายภายในบ้าน
นายตำรวจทั้งสองมองหน้ากันอย่างสื่อนัยอะไรกันบางอย่าง
แล้วต่างวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วโดยไร้เสียงฝีเท้า ร่างสองร่างยืนขนาบติดผนังหน้าห้องของอวี๋อินจนได้ยินเสียงแน่ชัดว่าเสียงนั้นเป็นของเจ้าของห้องนี้แน่นอน
ปัง!
อวี๋เซี่ยยิงกลอนประตูที่ถูกล็อกจากด้านในแล้วผลักประตูให้เปิดออก
ทว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาไม่ใช่โจรหรือผู้ร้าย แต่กลับเป็น....
กุกกัก
อวี๋อินเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากหน้าบ้านแต่หาได้ใส่ใจ
บางทีตัวเองอาจหูฝาด
ถ้ายิ่งพ่อใหญ่กับพ่อรองกลับมาแล้วเขายิ่งไม่เชื่อเพราะว่าคนที่โทรฯ
มาบอกอวี้ว่าจะไม่กลับบ้านในวันนี้ก็คือคนทั้งคู่นั่นแหละ
ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างในตัวเขามันกำลังทำงาน
ถึงลางสังหรณ์ของเขาจะไม่แม่นเท่าอีไท่
แต่บางทีมันก็ทำงานดีนักแลกับไอ้เรื่องร้ายๆ แบบนี้
“อวี้หยุดก่อน”
“ทำไม” อวี้เอียงคอสงสัย
หลังจากทำกันมาสองรอบและกำลังจะทำรอบที่สามต่อ
กลับถูกอาอินขัดจังหวะซะอย่างนั้นทำให้อารมณ์ขาดช่วง
“วันนี้พอแค่นี้เถอะ รู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้”
“ก็ได้”
อวี้ตอบอย่างว่าง่ายทำให้อวี๋อินรู้สึกโล่งใจ “แต่ขอทำอีกรอบหนึ่ง”
ว่าแล้วอวี้ก็โถมกายกระแทกใส่อวี๋อินอีกครั้ง
กุกกัก
ปัง!
เฮือก!
อวี๋อินสะดุ้งกับเสียงปืนที่ดังสนั่นในระยะใกล้
เผลอโอบอวี้ที่คร่อมอยู่ด้านบนพลิกลงมาอยู่ด้านล่างภายในอ้อมกอดแทนตามสัญชาตญาณที่ชอบเข้าปกป้องคนอื่น
“แก!”
อวี๋เซี่ยคำรามต่ำในลำคออย่างไม่อยากเชื่อ
ภาพในตอนนี้ที่พี่น้องฝาแฝดเห็นมันราวกับว่าอวี๋อินใช้กำลังบังคับให้อวี้ร่วมมีสัมพันธ์กับตนอย่างไรอย่างนั้น
ร่างของอวี๋อินถูกชากออกมาด้วยน้ำมือของอวี๋เซี่ย
หมัดลุ่นๆถูกปล่อยมาปะทะใบหน้าของอวี๋อินจนร่างทั้งร่างถลาลงไปกองกับพื้น
อวี๋ถงวิ่งเข้าห้องไปเอาผ้าห่มมาคลุมตัวอวี้ไว้
“อาอิน ไม่คิดเลยว่าแกจะเป็นคนแบบนี้!”
อวี๋เซี่ยตั้งท่าจะเข้าไปซ้ำอวี๋อินอีกครั้ง
อวี้ที่เห็นเหตุการณ์ผลักอวี๋ถงออกแล้ววิ่งเข้าไปฉุดรั้งท่อนแขนที่กำลังวาดเหวี่ยงลงไปเต็มแรงได้ทันท่วงที
“ปล่อยซะเสี่ยวอวี้
อาอินต้องโดนสั่งสอนสักครั้งถึงจะหลาบจำ จะได้ไม่กล้าทำกับเธอแบบนี้อีก”
“คนที่เป็นฝ่ายข่มขืนและบังคับให้อาอินมีอะไรด้วยคือผมเอง!” อวี้ตะโกน
ไม่บ่อยนักที่อวี้จะเสียงดังแบบนี้ทำให้อวี๋เซี่ยชะงักหมัดที่กำลังยื้อยุดกับอวี้ลงทันใด
“ผมเองที่เป็นฝ่ายเริ่มขืนใจอาอินก่อน”
พูดย้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันหนักแน่นในคำตอบที่เคยตอบออกไป
ผัวะ!
เป้าหมายของหมัดถูกเปลี่ยนมาเป็นอวี้ทันที
อวี้เซไปปะทะเข้ากับแผ่นอกแกร่งของอวี๋ถงที่ตอนนี้ไม่แสดงความรู้สึกต่อเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่ออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย
“เซี่ย ไปสงบสติอารมณ์ซะ”
เมื่อผู้เป็นพี่ชายสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อวี๋เซี่ยจึงเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างด้วยความฉุนเฉียว
แล้วปล่อยให้ผู้ที่อารมณ์เย็นกว่าตนจัดการเรื่องบนนี้ให้เรียบร้อย
“อาอิน เข้าห้องไปอาบน้ำแล้วลงไปข้างล่างซะ
เสี่ยวอวี้เธอก็ด้วย” หลังจากไล้เด็กทั้งสองให้ไปอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
อวี๋ถงก็เดินลงมานั่งข้างๆ น้องชายที่ดูท่าจะเริ่มเย็นลงมาบ้างแล้ว
เรื่องที่เสี่ยวอวี้เป็นฝ่ายบังคับขืนใจอาอินมันเป็นเรื่องที่เกินจะคาดถึงจริงๆ
“เล่าออกมาให้หมด” อวี๋เซี่ยกดดันเด็กทั้งสองด้วยสายตาดุดัน
อวี๋อินลังเลที่จะเล่าเพราะแต่ละเรื่องมันออกจะเป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับตัวเขา
แต่ทันใดนั้นกลับเป็นอวี้เองที่เป็นฝ่ายเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างไม่มีอาการขัดเขินแต่ประการใด
เมื่อได้ฟังเรื่องเกือบทั้งหมดผู้ใหญ่ทั้งสองต่างทำหน้านิ่วขมวดคิ้วชนกัน
อวี๋อินโดนยาปลุก ส่วนอวี้กลับฉวยโอกาสนั้นกระทำชำเราพี่ตัวเอง ต่างคนต่างผิด
ไม่รู้จะโทษใคร ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงสั่งสอนให้ทั้งคู่รู้จักป้องกันโดยใช้ถุงยางเท่านั้น
เพราะจากเหตุการณ์ด้านบนทำให้อวี๋ถงและอวี๋เซี่ยรู้ว่าเด็กทั้งคู่ต่างมีเพศสัมพันธ์กันโดยไร้การป้องกันใดๆทั้งสิ้น
“แล้วจะทำอย่างไรต่อไป อวี้” อวี๋ถงถามอวี้
“ผมจะรับผิดชอบ...”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น คำถามคงจะยากไปสินะ
เอาอย่างนี้ ความรู้สึกของเธอที่มีต่ออาอินเป็นอย่างไร
เธอจริงจังหรือว่าแค่อยากลอง”
“ผม...ผมจริงจัง”
คำตอบเกินความคาดหมายทำเอาอีกคนที่นั่งข้างๆต้องหันมามองตาโต
อวี๋อินเข้าใจผิดมาตลอดนึกว่าอวี้แค่เล่นๆกับเขาเท่านั้น
จนกระทั่งได้มายินกับหูตัวเองในวันนี้ ใบหน้าของอวี้ขึ้นสีแดงเล็กน้อยด้วยความเขินอายโดยไม่ได้ตั้งใจจะสารภาพความในใจออกไปแท้ๆ
ถ้าสถานการณ์ไม่บังคับ อวี้คงไม่พูดอะไรแบบนี้ออกไปง่ายๆแน่
“แล้วลูกล่ะอาอิน”
คราวนี้วกกลับมาถามอวี๋อินผู้ซึ่งอวี๋ถงมักพร่ำพูดเสมอว่าเป็นลูกแท้ๆของตน
อวี๋อินอึกอักเพราะไม่สามารถจะตอบได้ในทันที
บอกตามตรงว่าเขายังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง จึงตอบออกไปได้แค่ “ผมไม่รู้”
เท่านั้น เวลาให้คิดทบทวนความรู้สึกมันน้อยเกินไป
แล้วอีกอย่างเขาไม่เคยคิดกับอวี้เกินกว่าน้องชายเลย นอกจากสัมพันธ์ทางกาย แล้วก็ไม่เคยทำอย่างอื่นที่เหมือนคนที่ชอบกันทำกันแม้แต่น้อย
ใบหน้าของอวี้หมองลงหลังจากได้ยินคำตอบที่ไม่แน่ชัดว่าชอบหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตามอวี้ยังคงไม่ย่อท้อ
และหลังจากนี้ไปเขาจะรุกคว้าหัวใจของพี่ชายคนนี้อย่างสุดกำลัง
เอาให้ดิ้นหนีไปไหนไม่ได้เลยคอยดู!
.
.
.
ซ่า!
เสียงคลื่นซัดกระทบชายฝั่ง ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีส้มและอีกไม่นานมันคงกลายเป็นสีดำ
บนชายหาดมีร่างโปร่งร่างหนึ่งนั่งทอดมองวิวทัศน์อย่างสบายอารมณ์
ลมยามเย็นลอยแผ่วพัดเอาความหนาวเหน็บมากระทบผิวกายจนต้องจามออกมา
“มานั่งตรงนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัด”
เสื้อคลุมตัวโคร่งถูกวางบนบ่าของคนหนาวสั่นจากบุคคลผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“มาดูตะวันจมน้ำ สวยออกนะ ไม่คิดงั้นเหรอ”
“มันก็สวย แต่เป็นหวัดมันจะไม่คุ้ม”
“บ้าจริง หัดเป็นคนจู้จี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เพราะนายไม่ค่อยห่วงตัวเองนั่นแหละอาอิน”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกว่าพี่!”
“อาอิน”
“โธ่ ไม่น่ารักเอาซะเลย เอาน้องชายคนเก่าคืนมานะ!”
“หึ”
แค่นเสียงหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวไปประกบปากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
ลมเย็นๆโชยพัดมาแต่ใบหน้าของอวี๋อินกลับรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาซะอย่างนั้น
ใครบอกให้เจ้าเด็กนี่มาทำอะไรอย่างนี้ในที่โล่งแจ้งกันเล่า!
ผ่านไปไม่นานนักอวี้ค่อยๆถอนปากออกมาพร้อมกระซิบแผ่วอยู่ริมใบหูของพี่ชายที่ควบฐานะแฟนพร้อมด้วยเสียงไพเราะจนทำเอาอวี๋อินหน้าแดงซ่าน
“ไอ้...ไอ้...ไอ้เด็กหัวแตงโมเอ๊ย!”
อวี่อินผละตัวออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับวิ่งเข้าบ้านพักตากอากาศไป
ปล่อยทิ้งให้คนข้างหลังเดินตามไปอย่างช้าๆด้วยสายตาเอ็นดูเปี่ยมไปด้วยรัก
‘คืนนี้ขอทำนะ’
.
.
.
THE END
ด้วยความฟินเรื่องนี้คู่นี้มานานนับหลายปีในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีคลอดฟิคออกมาสักที
ฟิคนี้เป็นฟิคจากนิยายเรื่องคู่ป่วนสืบคดพิศวงค่ะ หลายคนอาจไม่รู้จักเพราะเป็นฟิคจากนิยายแปล
ตอนนี้ความหวังของภาค 2 ของเรื่องนี้เริ่มเรือนรางเต็มที ยังไงก็ขอภาวนาต่อไปให้มีค่ายไหนสนใจมาแปลต่อด้วยเต๊อะ >_<!
ปล.ความจริงเราจิ้น All อาอินแหละค่ะ จิ้นตั้งแต่รักต้องห้ามในครอบครัวอวี๋ จิ้นกับน้องต่างสายเลือดอวี้ จิ้นกับหมอนิติเวชเหยียนซือ จิ้นกับอดีตรูมเมทของเหยีนซือนายตำรวจหลีจื่อหง และจิ้นกับเพื่อนมาดนิ่งผู้ที่มีลางสังหรณ์แม่นยำอีไท่ค่ะ ฮะๆๆ เคะดวงซวยอย่างอวี๋อินนี่และที่ช๊อบชอบ//เริ่มแสดงรสนิยมซาดิสต์
ในที่สุดก็มีคนแต่งคู่นี้ชอบมากค่ะรอคอยมานานเช่นกันภาค2 หวังว่าเอ็ทเธอร์จะเอาไปพิมพ์ค่ะ มาช่วยกันภาวนาค่ะ
ตอบลบโอ้ ในที่สุดก็เจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกหนึ่งแล้ว ><
ลบ