วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

[Fic] Aldnoah.Zero : In ThE (Bed)RooM ภาค2 6Months/6Years (Slaine x Inaho)



Fiction : Aldnoah.Zero
Title : In ThE (Bed)RooM
Author : มิดไนท์-Sama
Pairing : Slaine x Inaho (Cruhteo x Slaine, Saazbaum x Slaine, Cruhteo x Inaho, Saazbaum x Inaho)
Rating : PG 
Warning : -
Note : ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ โดยส่วนตัวรู้สึกว่าภาค 2 นี้เขียนดีกว่าภาคแรกมากมาย ><! (มั้งคะ หุๆ) 








ความเดิมตอนที่แล้ว...

“จะฆ่าก็รีบฆ่าซะ” เสียงแผ่วเบาลอดผ่านไรฟัน ถ้าสู้ด้วยสภาพร่างกายสมบูรณ์พร้อมกว่านี้อาจพอพ้นเงื้อมมือทรงพลังนี้ไปได้

“ได้ หากต้องการแบบนั้น”

มีดสั้นเหน็บเอวถูกหยิบออกมาจ่อลำคอบอบบาง อินาโฮะหลับตาลงกล่าวขอโทษครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่สามารถรักษาสัญญาไว้ได้ในใจ เหลือรอดเพียงคนเดียวกลางดงระเบิดนั่นถือว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว ถูกจับเป็นเชลยไม่มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับกองทัพกลายเป็นตัวไร้ประโยชน์ที่น่าจะถูกฆ่าทิ้ง แต่กลับไปเตะตาพวกพิลึกแล้วยังถูกย่ำยีถึงเพียงนั้น คราวนี้คงถึงคราวตายจริงๆของตัวเองสักที

...อิงโกะ นีน่า คาล์ม โอคิสุเกะ รอก่อนนะ อีกไม่นานฉันจะไปหาพวกนายแล้ว...

สเลนเงื้อมมีดสั้นขึ้นเหนือหัว ส่งแรงทั้งหมดไปยังฝ่ามือ และแล้วมีดทั้งเล่มก็ถูกปักลงไป...

ฉึก!





 In ThE (Bed)RooM 

ภาค2 

6Months/6Years




ฉึก!

.

.

.

ไม่รู้สึกเจ็บเลย หรือว่าตายแล้วงั้นเหรอ ไม่น่าจะใช่เพราะยังได้กลิ่นอายของผืนดิน

“ทำไม่ได้... ฉันฆ่านายไม่ได้...”

เสียงจากคนด้านบนทำให้อินาโฮะค่อยๆลืมตา ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นดูเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนจะรับรู้ถึงความเป็นอิสระอีกครั้งเมื่อคนด้านบนลุกออกไป

“...”

“ไปซะ ถ้าจะหนีก็ทำซะตอนนี้ ขืนชักช้าเดี๋ยวฉันเผลอรั้งนายไว้อีกหรอก”

“ทำไม...ถึงปล่อย...” คนตัวเล็กกว่าถามอย่างสงสัย

“นั่นสินะ... บางทีฉันอาจตกหลุมรักนายแล้วก็ได้ บ้าชะมัดเลย”

“นายมันบ้า” อินาโฮะย้ำถึงความบ้าของอีกฝ่ายแล้วเดินจากมา บางทีเขาเองอาจติดเชื้อบ้ามาแล้วก็ได้ที่เผลอไปหวั่นไหวกับถ้อยคำเหล่านั้น “บ้าที่สุดเลยตัวเรา”

อินาโฮะตัดสินใจควบม้าออกมาจากจุดนั้นให้เร็วที่สุดพร้อมด้วยจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นแปลกไป ใช้เวลาสิบห้าวันในการเดินทางจึงเริ่มเข้าเขตประเทศบ้านเกิด เขาควบม้าตรงไปยังค่ายทหาร ด้วยชุดแปลกตาของฝ่ายศัตรูทำให้ถูกล้อมจับ ด้วยเป็นบุคคลน่าสงสัยซึ่งอาจเป็นฝ่ายสอดแนมของศัตรูแต่กลับตรวจไม่พบอาวุธใดๆสักชิ้นจากร่างกาย

“ขอเข้าพบร้อยเอก มาริโตะ โคอิจิโร่” ขณะร่างกายถูกมัดลากให้เดินตาม อินาโฮะเอ่ยชื่อบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วในหมู่ทหารยศต่ำกว่าว่าเป็นร้อยเอกขี้เมา

“ทำไมแกถึงรู้จักชื่อนั้น!” ทหารคนหนึ่งขู่ตะคอกอย่างไม่ไว้วางใจ บางทีพวกเขาน่าจะฆ่าคนๆนี้มากกว่าปล่อยให้เข้ามาอยู่ในค่ายปราการ

“ขอเข้าพบร้อยเอก มาริโตะ โคอิจิโร่” อินาโฮะพูดยังคงย้ำคำเดิม

“นี่แกจะยั่วโมโหกันรึไงวะ” ทหารนายหนึ่งกระชากคอเสื้ออินาโฮะขึ้นมาเตรียมเงื้อมมือขึ้นต่อย แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแทรกทำให้หมัดนั้นชะงักห่างจากใบหน้าของอินาโฮะเพียงแค่คืบ

“เกิดอะไรขึ้น เอะอะกันตั้งแต่หัววันเชียว”

“ร...ร้อยเอกมาริโตะ!” เหล่านายทหารที่คุมตัวอินาโฮะต่างฮือฮาเมื่อเจ้าของชื่อเจ้าปัญหาเดินเข้ามา

“เราจับบุคคลน่าสงสัยว่าจะเป็นฝ่ายศัตรูได้แถวๆค่าย มันเรียกร้องขอเข้าพบร้อยเอกมาริโตะครับ!

“ศัตรูเนี่ยนะเรียกหาฉัน? บ้าน่าไม่มีทาง ไหนขอดูหน้าหน่อยซิ” มาริโตะเดินแหวกหมู่ทหารใต้บังคับบัญชาเข้าไป ทันทีที่ได้พบหน้ากับผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสายสอดแนมของศัตรูขวดเหล้าในมือเขาก็แทบร่วง

“เลิกเหล้าได้แล้วนะครับร้อยเอกมาริโตะ ศัตรูเริ่มเคลื่อนไหวครั้งใหญ่แล้ว”

“อินาโฮะ... ไคสึกะ อินาโฮะใช่มั้ย เธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆงั้นเหรอ”

อินาโฮะถูกเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน ท่าทางราวกับคนรู้จักกันนั้นทำให้ทหารรอบข้างรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก

“ทหารทุกนายจงฟัง เด็กคนนี้ไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นมิตร เป็นพรรคพวกเดียวกับพวกเรา เขาถูกส่งไปเป็นแนวหน้าเมื่อประมาณหกเดือนก่อน หัวหน้าบังคับบัญชาการทหารหน่วยย่อยแนวหน้า ไคสึกะ อินาโฮะ ผู้ซึ่งเคยตีทัพศัตรูจนแตกพ่ายได้โดยกลุ่มทหารเพียงหยิบมือ ตอนนี้ถูกขึ้นชื่อเป็นผู้เสียชีวิตในสงคราม ใครก็ได้แก้เชือกออกซะ พาเขาเข้าที่พักแล้วนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยนให้ด้วย!” มาริโตะเอ่ยเสียงดังทรงอำนาจอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน เหล่าทหารต่างอึ้งเมื่อบุคคลผู้เลื่องชื่อจากหกเดือนก่อนที่น่าจะตายไปแล้วมายืนตัวเป็นๆอยู่ตรงหน้า ท่าทีของนายทหารต่ออินาโฮะในคราแรกถูกพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเธอจะยังไม่ตาย” มาริโตะเข้ามาในเต็นท์ของอินาโฮะหลังจากอีกฝ่ายชำระกายสกปรกจากการเดินทางเรียบร้อยแล้ว

“ผมเองก็ไม่อยากเชื่อ”

“หกเดือนที่ผ่านมาเธอหายไปไหน ทำไมไม่รีบกลับมาสมทบกับกองทัพ”

“ผมเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากแนวหน้าแล้วยังถูกฝ่ายศัตรูจับเป็นเชลย ผมเสียดวงตาข้างซ้ายไปในตอนนั้น คุณไม่ต้องห่วง ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตผมก็ไม่คิดจะขายชาติของตัวเองอยู่แล้ว ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้แผนการอะไรด้วยยศที่ต่ำอยู่แล้วศัตรูที่เห็นอย่างนั้นจึงคิดว่าผมไม่รู้อะไรจริงๆ”

“หากเป็นเช่นนั้นทำไมถึงยังรอดมาจนป่านนี้อีก ฝั่งศัตรูคงไม่นั่งเลี้ยงดูปูเสื่อพวกไร้ประโยชน์ในคุกหรอกนะ หรือพวกนั้นจะใช้แรงงานเธอเยี่ยงทาสรึไง”

“ไม่ใช่ครับ” อินาโฮะตอบปฏิเสธ ใจหนึ่งไม่อยากเล่าเรื่องต่อจากนั้นให้อีกฝ่ายฟัง แต่เนื่องด้วยมันคือหน้าที่ทำให้จำใจต้องเล่าความจริงออกไป แต่กระนั้นก็ไม่ละเอียดนัก เขาเล่าเพียงเพื่อให้พอจับใจความได้เท่านั้น

หลังจากได้ฟังเรื่องราว มาริโตะอึ้งไปเล็กน้อย มือใหญ่เอื้อมขึ้นลูบหัวอินาโฮะอย่างปลอบโยน “อยากกลับไปหายูกิไหม”

“ผม...กลับไปได้เหรอครับ ตอนนี้สงครามเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที...”

“ฉันไม่ใจจืดใจดำส่งคนที่เพิ่งรอดตายจากสนามรบแถมเจอเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้นไปสู้ตอนนี้หรอก เดี๋ยวฉันจะยื่นเรื่องของเธอไปให้เบื้องบนเอง”

“ขอบคุณมากครับร้อยเอกมาริโตะ”

หลังจากนั้นมาริโตะได้ทำเรื่องยื่นไปทางเบื้องบน สภาพบุคคลผู้เสียชีวิตในสงครามของอินาโฮะถูกลบออกไป คำอนุญาตในการยื่นร้องขอให้นายทหารไคสึกะกลับไปเยี่ยมบ้านได้หนึ่งอาทิตย์บรรลุผล

อินาโฮะเดินทางกลับบ้านด้วยรถประจำทาง เส้นทางบ้านเมืองคุ้นตาทำให้หัวใจสงบ ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบ้านของตัวเอง รู้สึกเหมือนว่าจากมานานเหลือเกิน นิ้วเรียวเอื้อมกดกริ่งแต่ไร้เสียงตอบรับ เวลาผ่านไปนานจนเขาเกือบยกมือขึ้นกดกริ่งอีกรอบติดแต่ว่าประตูบ้านดันถูกเปิดออกมาซะก่อน

หญิงสาวซูบเซียวดูอิดโรยไม่เหลือเค้าความงดงามและร่าเริงในอดีตทำให้อินาโฮะแปลกใจ ทันทีที่หญิงสาวเห็นหน้าของอินาโฮะเธอก็วิ่งออกมาโผกอดผู้มาเยือนทันใด น้ำตาที่แห้งเหือดเริ่มไหลเป็นสายทะลักออกจากดวงตาคู่สวยราวกับเขื่อนแตก

“นาโอะคุง นาโอะคุงจริงๆใช่มั้ย ช่วยบอกทีว่าพี่ไม่ได้ฝันไป เธอยังไม่ตาย!

“พี่ยูกิ ผมกลับมาแล้ว”

อินาโฮะกอดตอบ ยูกิฟูมฟายเกินกว่าจะพูดคำว่า ยินดีต้อนรับกลับได้แล้ว น้ำตาและความอบอุ่นของพี่สาวปลุกความอ่อนแอในตัวของอินาโฮะให้ตื่นขึ้นมา เหตุการณ์เลวร้ายหลายอย่างต่างๆที่เกิดขึ้นภายในหกเดือน มีหลายครั้งอินาโฮะคิดอยากร้องไห้ แต่เพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ฝ่ายศัตรูเห็นจึงต้องอดทนอดกลั้นเรื่อยมา แต่ในยามนี้เขาไม่สนใจอีกแล้ว ไม่สนใจอีกแล้วจริงๆเมื่อได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวอีกครั้ง

สองพี่น้องพากันร้องไห้กอดกันตัวกลมอยู่หน้าบ้าน เมื่อสงบสติอารมณ์ลงแล้วถึงได้พากันเดินเข้ามาในบ้านด้วยรอยยิ้มปิติยินดี

“นาโอะคุง ตาของเธอ...” หลังจากตั้งสติได้ยูกิจึงได้เริ่มถามไถ่ในสิ่งผิดปกติของน้องชาย

“ไม่เป็นไรไม่เจ็บแล้ว พี่ยูกิเองก็ดูผอมลงมากเลย ได้กินข้าวครบสามมื้อบ้างไหม”

“เอ่อ...แหะๆ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวจะทำอาหารให้พี่ยูกิกินเองนะ”

เวลาแห่งความสุขผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยูกิรั้งตัวอินาโฮะไว้ไม่อยากให้กลับไปรบอีก แต่เนื่องด้วยมันคือหน้าที่จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ อินาโฮะกำชับยูกิให้กินข้าวให้ครบสามมื้อด้วยความห่วงใยเช่นกัน

สงครามในสนามรบเริ่มรุนแรงมากขึ้น อินาโฮะได้เลื่อนยศจากผลงานเมื่อหกเดือนก่อน เขาเป็นผู้ร่วมวางแผนการรบพร้อมประเมินกำลังของศัตรู แต่ด้วยเทคโนโลยีของฝ่ายอังคาเลียก้าวล้ำมากทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบาก สงครามดำเนินติดต่อกันยาวนานถึงสี่ปี ในที่สุดฝ่ายอังคาเลียก็ต้องล่าถอยเนื่องจากเกิดการปฏิวัติภายในประเทศ สงครามทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากการเก็บภาษีสูงขึ้นทุกวันจนทนไม่ไหวลุกขึ้นมาก่อกบฏโค่นล้มราชบัลลังก์ซึ่งปกครองแบบเผด็จการมายาวนานหลายปี กษัตริย์ถูกแต่งตั้งขึ้นใหม่และเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย

ทหารฝ่ายอังคาเลียบางส่วนถูกจับเป็นเชลยบังคับใช้แรงงาน เรื่องราวทุกอย่างคงจบลงแค่นั้นหากทหารใต้บังคับบัญชาผู้มีหน้าที่คุมนักโทษเชลยไม่มาบอกข่าวถึงเรื่องราวอันน่าแปลกใจ

นักโทษประหลาดคนหนึ่งในห้องขังในสุดเอ่ยถามถึงความเป็นอยู่ของตัวอินาโฮะจากผู้คุม หลังจากรู้ว่าแผนการรบต่างๆถูกวางแผนโดยเขาเป็นส่วนใหญ่อีกฝ่ายกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนเสียสติ นั่นคือสิ่งที่อินาโฮะได้ยินมาหลังจากผู้คุมนักโทษมารายงาน

“ไม่คิดเลยนะว่าร้อยตรีไคสึกะจะมาเยี่ยมถึงในคุกใต้ดินนี่” คนในห้องขังเอ่ยเสียดสีคนด้านนอกลูกกรงอย่างประชดประชัน

“แค่สนใจนิดหน่อยว่าใครที่มาถามหาเรื่องของฉัน ...ที่แท้ก็เป็นนาย”

“...ตอนนี้สถานะภาพของเราสองคนสลับกันแล้วสินะ”

“อืม”

“ไม่อยากเชื่อจริงๆว่าการปล่อยนายไปจะทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปได้ รู้รึเปล่าว่าหลังจากฉันออกไปตามล่านายแล้วกลับไปตัวเปล่าๆท่านเคาท์คลูเทโอ้โมโหมากเลยล่ะ พาลโทษว่าเป็นความผิดของฉันเรื่องไม่จับตาดูนายดีๆทั้งๆที่ตัวเองประมาทปล่อยให้มีของที่สามารถใช้สะเดาะกุญแจได้อยู่ในห้องแท้ๆ”

“...”

“ไคสึกะ... นั่นคือชื่อของนายสินะ” สเลนลุกเดินเข้าใกล้อีกฝ่ายสบดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของไคสึกะผ่านซี่ลูกกรง

“นามสกุลน่ะ”

“ชื่อของนายล่ะ”

“ก่อนจะถามชื่อของคนอื่นก็ต้องบอกชื่อของตัวเองมาก่อนสิ”

“สเลน... สเลน โทรยาร์ด แล้วนายล่ะ”

“ไคสึกะ...อินาโฮะ”

“อินาโฮะ” สเลนทวนซ้ำ คิดแล้วอยากขำตัวเองเหลือเกิน ทั้งๆที่อยู่ร่วมกับอีกฝ่ายมาร่วมหกเดือนแต่กลับไม่เคยรู้ชื่อของกันและกันแล้วก็ไม่คิดที่จะถามด้วย ตอนเขาถามถึงคนตรงหน้ากับทหารยามเฝ้าคุกกว่าจะคุยกันรู้เรื่องว่าเขาถามหาถึงใครก็นานพอตัว คนเตี้ยๆ ตาสีแดงๆ เสียตาไปข้างหนึ่งคงไม่ได้มีแค่อินาโฮะคนเดียวเป็นแน่ “ยินดีด้วยที่ได้เลื่อนขั้น”

“ขอบใจ”

“รู้อะไรไหม นายทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฉันป่นปี้หมด นายคงไม่รู้ว่าฉันลำบากแค่ไหนกว่าจะไต่เต้ามาได้ถึงขนาดนี้ได้ในกองทหาร เพราะฉะนั้นนายต้องรับผิดชอบ” สเลนเอื้อมมือกระชากคอเสื้อของอินาโฮะเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของทั้งคู่แนบผ่านช่องว่างของลูกกรง ลิ้นของร่างสูงกว่าพัวพันตวัดรัดรอบไล่ต้อนลิ้นเล็กจนสาแก่ใจถึงได้ยอมผละออก

“นายมัน...” อินาโฮะเช็ดคราบน้ำลายมุมปากออกไป สัมผัสที่ห่างหายไปนานหวนกลับคืนมาอีกคราจนอินาโฮะเผลอหน้าแดงเล็กน้อย

“ความรู้สึกของฉันที่บอกในป่าตอนนั้นถึงตอนนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปหรอกนะ ไคสึกะ อินาโฮะ แล้วนายล่ะเกลียดฉันรึเปล่า”

“อืม ทั้งเกลียดทั้งขยะแขยง”

“...”

“แต่ว่า...อาจจะเริ่มชอบขึ้นมานิดนึงก็ได้มั้ง”

“...”

“...”

“หึ รู้ไหมตอนนี้ฉันอยากสัมผัสนายชะมัด”

“ฝันไปเถอะ”

สเลนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากตอนแรกเขาหน้าเสียเมื่อถูกอีกฝ่ายบอกเกลียดและขยะแขยง ถ้าทำถึงขนาดนั้นใครไม่เกลียดก็คงบ้าไปแล้ว แต่ทว่าความรู้สึกที่อินาโฮะบอกต่อท้ายนั้น เขายังคงจะพอมีลุ้นได้ไหมนะ

อินาโฮะเดินตีจากมา ในความคิดเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งๆที่บอกว่าเกลียดแต่ทำไมพอเขาเห็นหน้าตาเหงาหงอยของอีกฝ่ายมันถึงได้เริ่มใจอ่อนจนพูดให้ความหวัง ที่ผ่านมาสเลนไม่เคยทำอะไรให้เขาประทับใจเลยสักครั้ง แต่เพราะอะไรกันนะ...หัวใจมันถึงเอนเอียงไปหาเขาทุกครั้งทันทีที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายมีใจให้ อินาโฮะไม่อยากคิดไปเองว่านั่นคือความรักจริงๆ มันอาจเป็นแค่ความหลงใหลชั่วครั้งชั่วคราวก็ได้ใครจะรู้

ความรัก ความชอบ ความลุ่มหลง ถึงจะคล้ายคลึงแต่ก็ไม่เหมือนกัน

“สเลน โทรยาร์ด ฉันยังไม่ลืมทุกสิ่งที่นายทำกับฉันหรอกนะ” อินาโฮะสัมผัสตาข้างซ้ายผ่านผ้าคาดตาสีดำ อีกซีกโลกหนึ่งนั้นมืดบอดมานานแล้ว ถึงอย่างนั้นการมองไม่เห็นในบางครั้งสามารถทำให้เขาใจหายได้อยู่บ่อยๆ ถึงตอนนี้จะเริ่มชินกับมันแล้วก็เถอะ

หลังจากเรื่องราวในคุกใต้ดินคราวนั้นอินาโฮะก็ไม่โผล่หน้าไปให้สเลนเห็นอีกเลย ถึงจะไม่มีการทำสงครามอีกแล้วเขาก็จะยังคงเป็นหทารต่อไปหากยูกิไม่ขอร้องทั้งน้ำตาว่าให้เลิกซะ ยูกิกลับไปสดใสร่าเริงและกลับไปหางานทำเพราะโดนไล่ออกจากบริษัทเก่าเนื่องจากหยุดยาวโดยพละการ ส่วนอินาโฮะทำงานเป็นนักเขียนบทความต่างๆให้กับนิตยสารหลายเล่ม ซึ่งบทความที่เขาเขียนมักจะได้รับความสนใจจนเป็นที่นิยม งานนี้เป็นงานติดบ้านแต่บางครั้งก็ต้องออกไปข้างนอกบ้างเพื่อปรับอารมณ์ หาข้อมูล และหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ

จอทีวียามเช้าวันนี้ถูกเปิดในขณะที่ชายหนุ่มยืนทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวเป็นกิจวัตร เสียงจากโทรทัศน์รายงานข่าวเกี่ยวกับประเทศอังคาเลียได้ส่งทูตมาเจรจาสงบศึกและเป็นพันธมิตรกัน หลังจากราชบัลลังก์เดิมของอังคาเลียถูกโค่นล้ม กษัตริย์องค์ใหม่คือหญิงสาวชาวบ้านผู้เป็นแกนนำในการปฏิวัติครั้งนั้นถูกโหวตเลือกจากเสียงส่วนมากให้เป็นผู้ดูแลประเทศต่อไป เธอชื่ออัสเซลัม (วาร์ส) อาลูเซีย

จากการสานสัมพันธ์อันดีและข้อตกลงเป็นพันธมิตรในสนธิสัญญาวาร์สทำให้เชลยทั้งหมดถูกปล่อยกลับประเทศอังคาเลียและได้มีการสร้างถนนหนทางเชื่อมกันระหว่างสองอาณาจักรเพื่อทำการค้าระหว่างประเทศและแบ่งปันภูมิปัญญาความรู้แก่กันและกัน

อินาโฮะเหม่อลอยออกนอกหน้าต่าง หวนคิดถึงชายหนุ่มผู้ขึงขัง เก็บกด เอาแต่ใจ และชอบใช้กำลังเวลาอยู่กับเขา ในตอนนี้อีกฝ่ายคงถูกส่งกลับประเทศไปแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่ายมากนัก ...จริงๆนะ

“กรี๊ด! นาโอะคุงทำอะไรน่ะ ไข่ไหม้หมดแล้วนะ!” ยูกิที่สลึมสลือเดินเข้าครัวมาหลังจากเพิ่งตื่นนอนถึงกับต้องตาสว่างเนื่องจากน้องชายของตนยืนเหม่อจนไข่ในกะทะไหม้ดำปี๋จนกินไม่ได้

เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยหลุดออกจากภวังค์ มือคว้าลูกบิดปิดแก๊สทันที

โทษที เผลอเหม่อไปหน่อย”

“เหม่อบ่อยๆแบบนี้ไม่ดีนะ พี่ใจหายหมด หรือว่าจะเจอคนที่ชอบแล้วล่ะ ทำหน้าตาแบบนั้น”

แบบนั้นที่ว่าเนี่ยแบบไหนกัน?”

“ก็แบบ...คนมีความรักไง”

“ไม่ใช่ซะหน่อย”

“ฮะๆๆ ปิดพี่ไม่มิดหรอกนะ เราอยู่กันมาตั้งกี่ปี่ นาโอะคุงเป็นยังไงคิดว่าพี่ไม่รู้เลยเหรอ เอาเถอะ พี่จะไม่ถามเซาซี้เรื่องนี้แล้วกัน”

ก็แค่คนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พอลองทบทวนเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดโดยรวมแล้วมีแต่ความโหดร้ายเย็นชา จะยอมอ่อนโยนให้ก็ต่อเมื่อเขาไม่สบาย มีเพียงแค่นั้นจริงๆแต่ทำไมหัวใจถึงไม่ฟังคำสั่งของสมองว่าไม่ให้คะนึงหา ทำไมคนเราถึงบังคับหักห้ามใจของตัวเองไม่ได้กัน

ผ่านจากวันนั้นมาหลายเดือนจนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่อินาโฮะกำลังทำอาหารเช้าเหมือนดังเช่นปกติเขาจำต้องวางมีดในมือลงเนื่องจากอาการปวดแปล๊บบริเวณตาข้างซ้าย เขาลูบมันผ่านผ้าคาดตาเกี่ยวหูสีขาวสะอาด ทั้งๆที่มันน่าจะหายดีแล้วแต่ทำไมถึงมารู้สึกปวดเอาตอนนี้ หรืออาจเป็นเพราะตาเทียมมีปัญหา?

หลังจากทำอาหารเสร็จอินาโฮะตัดสินใจไปโรงพยาบาลเพื่อไปให้หมอตรวจดูอาการ ระหว่างทางร่างกายรู้สึกเฉื่อยชาอาจเป็นเพราะเอาแต่ทำงานหน้าคอมฯ ทำงานบ้านเล็กน้อย นอกนั้นก็แทบไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่เหมือนตอนเป็นทหารที่ต้องออกกำลังกายใช้แรงเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและกระฉับกระเฉงพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์อยู่เสมอ

“สงสัยคงต้องหาเวลายืดหยุ่นร่างกายบ้างซะแล้วสิ”




“ไม่มีปัญหาอะไรครับ” เสียงนุ่มๆของหมอหนุ่มเอ่ยออกมาหลังจากตรวจเช็คดวงตาปลอมนั้นเรียบร้อย “ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะลองเปลี่ยนเป็นอันใหม่ให้นะครับ”

เพื่อความสบายใจอินาโฮะจึงตอบตกลง ปกติเวลาอยู่บ้านเขาไม่มีความจำเป็นต้องใส่ดวงตาเทียมเพราะมันรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อย แต่เพราะวันนี้มีนัดกับ บก. นิตยาสารที่ดูแลเขาอยู่จึงจำต้องใส่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อบุคลิกภาพที่ดี แต่ยังไงความจริงที่ว่าเขาสามารถมองเห็นได้เพียงข้างเดียวก็ยังไม่เปลี่ยนไป ส่วนอีกข้างนั้นเป็นเพียงแค่ของประดับเท่านั้น

“แล้วก็ช่วงนี้คุณสีหน้าไม่ดีเลยนะครับ ผมแนะนำให้พักผ่อนเยอะๆ โหมทำงานมากไปก็ใช่ว่าจะดี”

“เข้าใจแล้วครับ” อินาโฮะลูบหน้าตัวเองเบาๆ สองสามวันมานี้เขาแทบไม่ได้นอนเพราะโหมปั่นบทความให้เสร็จก่อนเส้นตายจะมาถึงซึ่งก็คือวันนี้นี่เอง สารภาพตามตรงว่าช่วงนี้เขารับงานมาทำเยอะจริงๆจนคิดว่าคงต้องขอยกเลิกงานเขียนบทความบางอย่างออกไปบ้างซะแล้ว

“แย่ที่สุด” หลังจากออกจากโรงพยาบาลและนัดคุยงานกันสร็จเรียบร้อยแล้วอาการปวดตากลับแล่นริ้วรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ราวกับคอยย้ำเตือนไม่ให้ลืมเลือนเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับบาดแผลนี้

“ขอโทษที่ปกป้องไม่ได้”

อินาโฮะยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพสลักชื่อสหายร่วมรบอดีตลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขาซึ่งตายภายในสงคราม เขารู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข คนตายไปแล้วไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกรวมถึงเรื่องราวในอนาคต ชีวิตและอายุขัยของพวกเขายังคงหยุดอยู่ที่เดิม ไม่เติบโต ไม่แก่ ไม่ตายอีก แต่กลายเป็นซากศพ ถึงกระนั้นในหลุมศพนี้ก็ไม่มีร่างของเพื่อนพ้องหลับใหลอยู่สักคนเนื่องจากถูกทิ้งไว้กลางสนามรบรวมกับร่างไร้วิญญาณของคนอื่นๆ

“ไม่ต้องเศร้าเสียใจไป ความตายอยู่คู่กับมนุษย์ทุกคน รวมถึงคุณกับผม”

เสียงปริศนาดังขึ้นด้านหลัง อินาโฮะที่กำลังเหม่อถึงกับสะดุ้งตัวโยนหันตัวกลับไปมองบุคคลด้านหลัง “สเลน... โทรยาร์ด?!

“ครับ”

“ทำไมถึง...มาอยู่ที่นี่” อินาโฮะจ้องมองดวงหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง เปิดสัญชาตญาณระวังภัยหากอีกฝ่ายเข้ามาจู่โจม

“ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้ ไคสึกะ อินาโฮะ ผมมาในฐานะองครักษ์ขององค์หญิงอัสเซลัม วาร์ส อาลูเซีย”

“ดูท่าว่าอาชีพองครักษ์จะว่างมาก ว่างจนถึงขนาดปล่อยปละละเลยในการทำหน้าที่คุ้มครอง” อินาโฮะค่อนแคะ

“ไม่ครับ ผมสั่งให้ลูกน้ององครักษ์คนอื่นๆดูแลแทนแล้ว อีกอย่างถ้าหากองค์หญิงมีอันเป็นไป สงครามระหว่างประเทศจะปะทุอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ประเทศที่จะล่มสลายคือประเทศของคุณ!” สเลนย้ำถึงอำนาจด้านกำลังรบในประโยคหลัง สิ่งที่เขาพูดไม่ไกลเกินจริงนักเพราะหากคราวนั้นในไม่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น ประเทศของอินาโฮะคงถูกถล่มไม่เหลือชิ้นดีจากอาวุธใหม่ทรงอานุภาพที่เพิ่งจะผลิตเสร็จสิ้น

อินาโฮะกัดฟันกรอดไม่พอใจวาจาหยิ่งทะนงของสเลน “พูดจาสุภาพชวนเลี่ยน”

“มันเป็นปกติของผมอยู่แล้ว ส่วนคุณเองตอนนั้นก็เป็นเชลย ผมคงไม่มานั่งพูดจาสุภาพด้วยหรอก แต่วันนี้เรามาเจอกันในฐานะเท่าเทียม ผมแค่อยากบอกว่าผมจะจีบคุณ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี อย่าคิดหนีซะให้ยากเพราะยังไงก็ไม่มีทางพ้น อีกอย่างหนึ่ง...ผมทราบมาว่าคุณเลิกเป็นทหารแล้ว”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”

“ครับ มันไม่เกี่ยว แต่สัญชาตญาณการระวังตัวของคุณทื่อลง ผมสะกดรอยตามคุณมาตั้งแต่คุณออกจากบ้านจนกระทั่งมาถึงที่นี่คุณก็ยังไม่รู้สึกตัวจนผมต้องทักออกไป”

อินาโฮะจนปัญญาเถียงกลับ มันเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดปล่อยให้อีกฝ่ายสะกดรอยตามมานานขนาดนั้น

“นายจะทำอะไรก็เรื่องของนายแต่อย่ามายุ่งกับฉันอีก บอกไปแล้วใช่ไหมในตอนเจอครั้งสุดท้ายว่าผมขยะแขยงนาย ต่อให้นายทำยังไงผมก็ไม่ยอมคบกับนายแน่ หรือจะใช้กำลังบังคับกันอีกล่ะ” ใช้กำลังบังคับเขาให้ตกเป็นของตนเองดั่งที่ตอนเขาเป็นเชลย

“ไม่ครับ คราวนี้ผมต้องการหัวใจของคุณหาใช่แต่เพียงร่างกายไม่ แถมตอนผมถูกขังอยู่ในคุกคุณก็ช่างใจร้ายมากเลยนะครับ หลังจากที่มาเยี่ยมผมครั้งแรกแล้วคุณก็ไม่แม้แต่จะมาหาผมอีกเลย รู้ไหมครับผมคิดถึงคุณมาก” สเลนย่างเท้าเข้าใกล้อินาโฮะจนอยู่ในระยะประชิดพร้อมก้มลงกระซิบเสียงแผ่วกระสันพร้อมขบเม้มริมใบหูบางเล็กน้อย “คุณบอกผมในวันนั้นว่าคุณขยะแขยงผม แต่คุณเองก็เริ่มมีใจให้ผมเช่นกัน คำพูดพร้อมกับใบหน้าในยามนั้นของคุณทำให้ผมที่อยู่ในคุกต้องช่วยตัวเองโดยคิดถึงแต่คุณทุกคืนๆ ”

ใบหน้าของอินาโฮะคงขึ้นสีแดงแปร๊ดเป็นแน่หากเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ไม่นึกเลยว่าสเลน โทรยาร์ด จะเป็นคนหน้าหนาถึงเพียงนี้ “จีบภาษาอะไรของนาย เอาคะแนนติดลบไปกินไป!

อินาโฮะผลักอกของสเลนให้ถอยออกห่างจากตัวแล้วฉวยโอกาสวิ่งหนีหายไป สเลนมองตามแผ่นหลังเล็กๆนั่นจากไปด้วยความสนุกสนาน การได้หยอกเย้าคนหน้าตายให้เขินได้นี่มันก็สนุกไปอีกแบบจริงๆ ความจริงหากเขาวิ่งตามไปแป๊บเดียวก็จับตัวทันแล้ว ระหว่างคนห่างหายจากการฝึกทหารไปเป็นปีกับคนที่ต้องออกกำลังกายเคร่งครัดอยู่ในค่ายทหารทุกวันจนกระทั่งได้เป็นหัวหน้าองครักษ์อย่างเขาใครจะวิ่งเร็วกว่ากันล่ะ

แต่เอาเถอะ วันนี้เขาจะยอมปล่อยอีกฝ่ายให้หนีไปตั้งตัวก่อน แล้วคราวหน้าจะลุยแบบไม่มียั้งแน่ ไคสึกะ อินาโฮะ เตรียมตัวรับมือเขาให้ดีก็แล้วกัน!

“สเลน! กลับมาแล้วเหรอคะ ดูอารมณ์ดีมากกว่าปกตินะคะ” อัสเซลัม วาร์ส อาลูเซีย เอ่ยทักสเลนที่กลับมาดูอารมณ์ดีผิดปกติหลังจากอนุญาตให้องครักษ์คนสนิทออกไปทำธุระส่วนตัวได้

“นิดหน่อยครับ พอดีผมไปเจอผลไม้ผลหนึ่งดูน่าทานมากๆเลยครับ มันทั้งหวานแล้วก็เปรี้ยว รู้สึกว่าที่ประเทศแห่งนี้จะเรียกมันว่าส้มน่ะครับ” สเลนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อพูดถึงรสชาติของผลไม้ชนิดเดียวที่เขาเพิ่งได้กินครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในประเทศนี้ประกอบกับจินตนาการถึงใบหน้าของอีกคนที่เพิ่งพบเจอมา “ถึงภายนอกจะดูโดดเด่นด้วยสีส้มเพียงสีเดียว แต่ภายในทั้งเปรี้ยวทั้งหวานบางทีก็ขมนิดๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อเลย”

“พอสเลนพูดแบบนี้แล้ว ฉันเองก็อยากจะลองทานบ้างซะแล้วสิ ผลไม้ที่ชื่อว่าส้มน่ะค่ะ”

“ตามพระประสงค์ ผมจะจัดเตรียมส้มเกรดเอไว้ให้องค์หญิงทานจนเบื่อกันไปข้างเลยละ แต่ระวังหน่อยนะครับ ส้มมันมีเมล็ดแข็งๆอยู่ เวลาทานทรงโปรดระวังด้วย เดี๋ยวจะไม่ดีต่อสุขภาพฟันนะครับ”

ใช่แล้ว เมล็ดของส้มน่ะแข็ง แต่หากลงแรกกัดไปมากๆเข้าเดี๋ยวมันก็กะเทาะแตกออกมาเอง เปรียบเสมือนดั่งหัวใจของคุณนั่นแหละครับ ไคสึกะ อินาโฮะ!




“ฮัดชิ่ว!” อินาโฮะปิดปากจาม รู้สึกคัดจมูกขึ้นมากะทันหัน ถ้าหากจะมีใครนินทาในยามนี้คงหนีไม่พ้นเจ้าโรคจิตสะกดรอยตามคนนั้นแน่

ในตอนนี้เขายอมรับเล็กน้อยก็ได้ว่ามีใจให้อีกฝ่ายนิดหน่อยมานานแล้ว แต่เมื่อบวกลบคูณหารในใจเสร็จสรรพกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำไว้ ยังไงความเกลียดก็มีมากกว่าอยู่ดี ใครกันบ้างจะบ้าไปดีใจกับคำว่าชอบของคนที่เคยทำร้ายแถมข่มขืนตนเองอย่างไร้ความปรานีแบบนั้นอีก ถ้ามีใครวิ่งรี่ไปตอบรับ เขาคงต้องส่งคนๆนั้นไปตรวจเช็คสมองกับโรงพยาบาลสักร้อยครั้ง แถมเมื่อยามนึกถึงสัมผัสหยาบโลนจากน้ำมือบุรุษเพศด้วยกันถ้าจะใช้แค่คำว่าขยะแขยงยังน้อยไปด้วยซ้ำ

“ยินดีต้อนรับกลับนะนาโอะคุง” ยูกินั่งเอกขเนกอยู่ในห้องรับแขกเคี้ยวขนมกรุบกรอบจนแก้มตุ่ยละสายตาจากโทรทัศน์หันมาทักน้องชายที่เพิ่งกลับบ้าน

“พี่ยูกิไม่ไปทำงานเหรอ” อินาโฮะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุดงานของยูกิสักหน่อย

“อ๋อ ทำงานครึ่งวันน่ะ ว่าแต่วันนี้อารมณ์ไม่ดีเหรอดูหงุดหงิดนะ”

เป็นอย่างนี้อยู่ประจำ เขาไม่เคยปกปิดความรู้สึกจากพี่สาวของตัวเองได้เลย มีหลายคนที่มักจะมองอารมณ์ของเขาไม่ออกเพราะด้วยสีหน้าเฉยชาไร้อารมณ์ที่เขามักใช้มันเก็บซ่อนอารมณ์ด้านลบของตนอยู่เสมอ แต่คงไม่ใช่กับพี่สาวที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดคนนี้แน่

“นิดหน่อย เรื่องงานน่ะ”

“หืม นักเขียนบทความสุดฮอทเริ่มมือตกเขียนไม่ออกแล้วรึไงจ๊ะ” ยูกิแซวขำๆแล้วดึงร่างของน้องชายให้มานั่งข้างๆเพื่อดูหนังเรื่องโปรดเป็นเพื่อนเธอ

“ดูสิบรอบแล้วไม่เบื่อบ้างเหรอ”

“ไม่นะ หนังเรื่องนี้ดูกี่รอบก็ไม่เบื่อ” ยูกิส่ายหัวปฏิเสธ

อินาโฮะเห็นแบบนั้นจึงลุกขึ้นไปหยิบโน้ตบุ๊คตัวเก่งที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วกลับมานั่งลงข้างๆยูกิตามเดิม

“เพิ่งไปคุยกับผู้ดูแลมาไม่ใช่เหรอ พักสักหน่อยบ้างก็ดีนะ”

เสียงกดแป้นคีย์บอร์ดยังคงดังต่อเนื่อง ยูกิจึงเลือกปล่อยให้น้องชายตัวเองทำตามใจชอบโดยไม่แย้งหรือพูดคุยให้อีกฝ่ายเสียสมาธิ เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงวัตถุหนักๆบางอย่างกดทับไหล่ด้านซ้ายของเธอ อินาโฮะหลับไปแล้วโดยใช้ไหล่เธอต่างหมอนนั่นเอง มือทั้งสองข้างยังค้างคาอยู่บนคีย์บอร์ดทำให้ปรากฏตัวหนังสือไม่เป็นคำถูกพิมพ์ออกมารัวๆ ยูกิเห็นดังนั้นจึงจัดแจงจับมือคู่นั้นวางข้างลำตัวของเจ้าของมัน คำส่วนเกินบนหน้าจอถูกลบโดยเธอและสุดท้ายเธอได้เซฟงานของน้องชายไว้ให้ก่อนจะพับโน้ตบุ๊คปิดลง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงละสายตามาดูหนังหน้าโทรทัศน์ตามเดิม

ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่สัมผัสอุ่นสบายกับกลิ่นหอมโล่งสบายมันทำให้คนกึ่งหลับกึ่งตื่นเคลิบเคลิ้ม สัมผัสรบกวนบริเวณแก้มทำให้ต้องฝืนลืมตาขึ้นมองต้นสายปลายเหตุ ใบหน้าหล่อเหลาหาตัวจับยากติดคมนิดๆมองจากเรือนผมทำให้รู้ว่าเป็นคนต่างชาติชัดเจนกำลังก้มมองลงมาด้วยรอยยิ้มละมุนละไมพร้อมเอ่ยคำว่า ตื่นแล้วเหรอครับอย่างเป็นมิตร

พอตั้งสติได้อินาโฮะรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที ความง่วงทุกอย่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทำไมคนๆนี้ถึงเข้ามาอยู่ในบ้านของตนได้! แล้วพี่ยูกิล่ะหายไปไหน!!

ท่าทางหันซ้ายหันขวาราวกับกำลังหาอะไรบางอย่างนั้นทำให้สเลนรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร “ถ้าพี่สาวคนสวยคนนนั้นละก็ออกไปเที่ยวแล้วฝากคุณไว้กับผมยังไงล่ะ ผมถึงได้มีโอกาสให้คุณยืมตักพลางมองใบหน้าน่ารักๆของคุณยามหลับแบบนี้”

“ทำไมถึงเข้ามาที่นี่ได้” อินาโฮะลุกขึ้นยืนตรงเป็นท่าตั้งรับหากอีกฝ่ายคิดจะจู่โจมจะได้วิ่งหนีได้ทัน

“ว่างน่ะครับ ส่งองค์หญิงเข้านอนเรียบร้อยแล้วเลยมีเวลามีหา(จีบ)คุณ ที่เหลือก็ปล่อยให้ลูกน้ององครักษ์คนอื่นๆดูแลเหมือนเดิม” สเลนตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน อินาโฮะมองพลางคิดว่าคนๆนี้ช่างขาดคุณสมบัติองรักษ์ที่ดีเสียเหลือเกิน อาณาจักร์อังคาเลียคงเลือกหัวหน้าองครักษ์มาจากการจับฉลากเป็นแน่

“เลิกนอกเรื่องแล้วตอบมาสักที”

“ใจร้อนกว่าที่เห็นภายนอกอีกนะครับคุณน่ะ ผมเข้ามาทางประตูหน้าแน่นอนครับ กดกริ่ง เอ่ยทักทายพี่สาวของคุณ ให้ของฝากนิดหน่อยแล้วอ้างว่าเป็นเพื่อนคุณ แค่นี้พี่สาวของคุณก็เชื่อสนิทใจให้ผมเข้าบ้านมาเฝ้าคุณส่วนตัวเองหนีเที่ยวกับเพื่อนที่โทรฯมาหาเรียบร้อย”

“โกหก...เราไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนกัน ออกไปได้แล้ว บ้านนี้ไม่ต้อนรับคนอย่างนาย ถ้ายังไม่ไปจะโทรฯหาตำรวจแล้วฟ้องร้องคดีบุกรุกเข้าบ้านคนอื่น”

อินาโฮะไม่ได้พูดเล่นๆเพราะเขายกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงตำรวจเรียบร้อย แต่แล้วโทรศัพท์บ้านกลับถูกกระชากออกจากมือแล้วกระแทกหูวางลงตามเดิม เงาด้านหลังทาบทับก่อนจะรู้สึกตัวเขาก็โดนฉวยกอดจากด้านหลังเสียแล้ว

“ใช่ครับ เราไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อน แต่จะให้ผมไปบอกพี่สาวของคุณใหม่ว่าเป็นคนรักของคุณก็ได้นะครับ ถ้าบอกไปแบบนั้นพี่สาวของคุณจะช็อกตายไหมน้า” สเลนกระซิบแผ่วคลอเคลียอยู่ข้างใบหู

อินาโฮะเลือกที่จะเงียบเพราะเขาเองก็ไม่อยากให้ยูกิรู้ว่าตนเองนั้นเคยมีสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันมาก่อนและอีกอย่างยูกิคงจะต้องร้องไห้แล้วโทษว่าเป็นความผิดตัวเองที่ไม่รู้เรื่องอะไร

“ปล่อย”

ร่างเล็กกว่าใช้แรงทั้งหมดแงะมือปลาหมึกให้ออกจากเอว พละกำลังที่ต่างกันทำให้อินาโฮะขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ สุดท้ายจึงกระทืบเท้าของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรงจนกระโดดโหยงหลุดออกไปด้วยความสาแก่ใจ

“คุณทำ...ผมเจ็บนะครับ” สเลนกุมเท้าข้างที่โดนกระทืบอย่างจังด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว

“ออกไปซะ” อินาโฮะคว้าปืนพกจากลิ้นชักใกล้ตัวที่เขาใส่มันเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินเล็งไปยังอีกฝ่าย

สเลนมองปืนในมือนั้นด้วยดวงตาเฉยชาพลางเดินเข้าไปหาอย่างไม่กลัวตาย ยิ่งเขาเดินเข้าไปอินาโอะก็ยิ่งเดินถอยหลังจนไปติดกับผนัง เมื่อร่างเล็กกว่าเห็นเขายังไม่ยอมหยุดจึงเล็งปืนไปยังพื้นใกล้ๆเท้าของสเลนเป็นการข่มขู่แล้วเหนี่ยวไก่ออกไป

กริ๊ก!

เสียงดังแปลกๆทำให้อินาโฮะแปลกใจเปิดกระบอกปืนออกมาดูทันทีพบว่าช่องใส่กระสุนนั้นว่างเปล่า

“กำลังหาไอ้นี่อยู่เหรอครับ” สเลนล้วงบางสิ่งบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อของตนแล้วปล่อยของสิ่งนั้นลงบนพื้นอย่างเป็นต่อต่อหน้าต่อตาของอินาโฮะ

เสียงกระสุนที่ยังไม่ได้ใช้งานดังกระทบพื้น กระบอกปืนเปล่าในมืออินาโฮะถูกดึงออกไปอย่างง่ายดายและเชื่องช้าจนในที่สุดสเลนก็เขวี้ยงมันทิ้งไปด้านหลังของตัวเอง

“ปืนที่ไม่มีกระสุนมันก็แค่ของเด็กเล่น ผมคาดไว้อยู่แล้วว่าบ้านของอดีตทหารอย่างน้อยต้องมีอาวุธสักอย่างหรือสองอย่างเป็นอย่างต่ำ เพราะงั้นบ้านของคุณในตอนนี้ถูกผมสำรวจหมดเรียบร้อยแล้วละครับ ...รวมถึงร่างกายของคุณด้วยนะ”

เมื่อได้เห็นท่าทางนิ่งค้างของอีกคนทำให้สเลนแย้มยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ ในตอนเขาตรวจหาอาวุธจากร่างกายของอีกฝ่าย ความจริงแทนที่จะเรียกว่าตรวจหาอาวุธน่าจะเรียกว่าลวนลามเล็กๆน้อยๆมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่าการแต๊ะอั๋งนิดๆหน่อยๆเท่านั้น

อินาโฮะจนปัญญาจะไล่อีกฝ่ายจึงเลือกเดินหนีออกมาเองแต่กลับถูกรั้งตัวไว้แล้วกระชากให้นั่งลงบนตัก สเลนเกี่ยวคอเสื้ออีกฝ่ายลงเล็กน้อยแล้วก้มลงดูดดุนเนื้อบริเวณต้นคออย่างแรงจนเกิดเป็นรอยสีแดงจางๆหนึ่งรอย

“ทำอะไรของนาย อุ๊บ!

ไม่ทันให้ตั้งตัวอินาโฮะก็โดนขโมยจูบไปอีกแล้ว จูบเร่าร้อนที่ห่างหายไปแสนนานทำให้เขาลืมจังหวะการหายใจจนเมื่อสเลนถอนตัวออกไปอินาโฮะถึงได้กอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างเหนื่อหอบ

“ป...ปล่อย ไหนบอกว่าจะจีบ แล้วทำกันแบบนี้น่ะเหรอ”

“ครับ จีบครับ แต่ขอมัดจำไว้ก่อน ผมคิดถึงคุณจะแย่คุณก็รู้ ผมไม่ลักหลับคุณก็บุญเท่าไหร่แล้ว” สเลนกระชับกอดแน่นขึ้นอย่างโหยหา ซุกหน้าลงบนแผ่นหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ สูดกลิ่นกายอันแสนคุ้นเคยจากในห้วงความทรงจำ

“ปล่อยได้แล้ว สเลน โทรยาร์ด” เป็นอีกครั้งที่อินาโฮะเรียกชื่อของสเลน เจ้าของชื่อเงยหน้าสบตาคนพูดด้วยใบหน้ายิ้มอย่างดีใจยอมคลายกอดปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ

“ไปไหนครับ” สเลนถามด้วยความสงสัย

“ทำอาหาร” อินาโฮะตอบสั้นๆ

“ถ้าอย่างนั้นทำเผื่อผมที่นึงนะครับ เพราะวันนี้ผมจะกินข้าวบ้านคุณ”

สเลนเดินไปนั่งที่โต๊ะทานอาหารมองร่างเล็กกว่าตวัดมีดหั่นวัตถุดิบอย่างช่ำชอง ทุกท่วงท่าลื่นไหลไม่มีติดขัด ผ้ากันเปื้อนนั้นก็ช่างเข้ากับคนใส่เสียเหลือเกิน

“ของนายเสร็จแล้ว” ใช้เวลาไม่นานนักชามข้าวต้มอุ่นๆก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้าสเลน

ทันทีที่ข้าวคำแรกเข้าปากสเลนถึงกับสำลัก “น...นี่มันอะไรกันครับคุณอินาโฮะ”

“ข้าวต้มไง” อินาโฮะตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

“แล้วทำไมมันถึงแข็ง? คุณทำอาหารเป็นแน่นะครับ”

“ข้าวต้มนั่นฉันจำมาจากสูตรของนายยังไงล่ะ”

“ครับ...? เอะ...เอ๋!!!

“นายฟังไม่ผิดหรอกนะ ...กินข้าวต้มจานนั้นให้หมดแล้วสำนึกด้วยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ฉันอยู่กับนายฉันต้องทนกินข้าวลวกน้ำร้อนนั่นทุกวัน นึกว่าเป็นการกลั่นแกล้งอะไรกันซะอีก แต่ดูจากปฏิกิริยาของนายแล้วคงไม่ใช่สินะ”

สเลนพูดไม่ออกนั่งมองชามข้าวต้มนิ่งสลับกับอีกฝ่าย จะว่ายังไงดีล่ะ เขาเองก็ไม่เคยกินอาหารฝีมือตัวเองมาก่อนด้วย พอเห็นอีกฝ่ายกินหมดทุกครั้งก็นึกว่าจะพอใช้ได้ซะอีก “ขอโทษครับ”

“ไม่ยกโทษให้ถ้าหากกินไม่หมด” อินาโฮะตอบทันควัน

หลังจากนั้นสเลนจึงจำต้องฝืนกินลงไปจนหมด รู้สึกอยากคายของเก่าทิ้งอย่างไรชอบกล

“กินเสร็จก็ออกไปได้แล้ว” เมื่อเห็นแขกที่เขาไม่ได้รับเชิญกินเสร็จจึงเอ่ยปากไล่ทันที กระนั้นแล้วสเลนยังคงนิ่ง อินาโฮะจึงเลือกปล่อยเลยตามเลย เขาจนปัญญาที่จะจัดการชายคนนี้จริงๆ

ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มส่งเสียงครืนคราง โดยไม่ทันให้ตั้งตัวเม็ดฝนห่าใหญ่พากันกระหน่ำตกลงมา อินาโฮะวางมือจากการกิจกรรมภายในครัวทุกอย่างวิ่งรี่ออกไปข้างนอกเพื่อเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ ผ้าบนราวตากถูกเก็บอย่างรวดเร็ว ทันทีที่อินาโฮะหันกายกลับ พื้นดินอุ้มน้ำอ่อนยวบกลายเป็นโคลนทำให้เขาลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า เสื้อผ้าในตระกร้ากระจัดกระจายไปคนละทาง เมื่ออินาโฮะพยายามจะลุกขึ้นเก็บก็พบว่าขาข้างหนึ่งของตนนั้นแพลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เป็นอะไรไหมครับ” สเลนเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างวิ่งออกมาสำรวจข้อเท้าของอินาโฮะอย่างเป็นห่วง นั่นจึงทำให้เขาพบว่าบริเวณนั้นมีรอยแผลเป็นอยู่ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดจากอะไร คงเกิดจากการเสียดสีของโซ่ล่ามเป็นเวลานานในยามเมื่ออีกฝ่ายยังเป็นเชลยของเขาแน่นอน สเลนเลิกสนใจรอยแผลเป็นเพราะว่าตอนนี้ต้องให้ความสำคัญกับการพาอินาโฮะเข้าบ้านไปหลบฝนเสียก่อน

“อ๊ะ ผ้า...”

“ช่างมันเถอะครับ! ผ้าจะซักใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” สเลนอุ้มคนบาดเจ็บขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยดุเมื่อคนตัวเล็กกว่าตั้งท่าจะเก็บผ้าอีกรอบ

ในตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในสภาพเปียกปอน สเลนนั่งคุกเข่าพันผ้าพันแผลให้กับอินาโฮะที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างคล่องแคล่ว

“มันเริ่มบวมแล้ว พรุ่งนี้เดี๋ยวผมจะพาไปหาหมอ”

“ไม่ต้อง ไปเองได้” อินาโฮะปฏิเสธความหวังดี

“อย่าดื้อครับ ไคสึกะ อินาโฮะ”

อินาโฮะขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเมื่อโดนอีกฝ่ายตำหนิตัวเองเหมือนเด็กๆ แต่ยังไงเรื่องคราวนี้ก็ต้องขอบคุณแหละนะ

“ขอบคุณ สเลน โทรยาร์ด”

“ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจครับ” สเลนยิ้มพร้อมมองอินาโฮะอย่างเอ็นดูแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดผมให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ อินาโฮะนั่งหลับตารับสัมผัสนั้นอย่างไม่ปฏิเสธ “ผมว่าพวกเราควรอาบน้ำกันดีกว่านะครับ นั่งตัวเปียกกันทั้งคู่แบบนี้คงไม่ดี” ว่าแล้วไม่รอช้าสเลนจัดแจงอุ้มอินาโฮะเข้าห้องน้ำโดยทันที แต่ไม่นานนักก็ต้องรีบวิ่งแจ้นออกมาเนื่องจากโดนอีกฝ่ายปาข้าวของไล่

...แผนแอบเนียนอาบน้ำด้วย ล้มเหลว...

อินาโฮะออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพสดชื่นกว่าเก่า เขย่งขาข้างเดียวเดินออกมาก็พบว่าเสื้อผ้าเปรอะโคลนและอาหารต่างๆที่ทำค้างไว้ถูกสเลนจัดการเก็บกวาดและจัดใส่จานอย่างเรียบร้อย

“นายเองก็ไปอาบน้ำได้แล้ว”

“อา ครับ” สเลนตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำทันทีแถมยังไม่วายตะโกนออกมาว่าถ้าตนเองอาบน้ำเสร็จแล้วจะมาพันผ้าพันแผลให้ใหม่ด้วย

สเลนในตอนนี้ช่างดูต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง คนที่คอยทำร้ายและย่ำยีร่างกายเขาไม่มีอีกต่อไป มีเพียงแต่ความเจ้าเล่ห์เท่านั้นที่เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมหาศาล แล้วก็ความอ่อนโยนนั่นนิดหน่อย

กริ๊งงงง! กริ๊งงงง!

โทรศัพท์บ้านดังขึ้นทำให้อินาโฮะที่เพิ่งนั่งแหมะลงเมื่อครู่ต้องลุกขึ้นกระโดดขาเดียวไปรับสาย เป็นยูกินั่นเองที่โทรฯมา เนื้อหาจับใจความได้ว่าวันนี้ยูกิจะค้างบ้านเพื่อนเนื่องจากเริ่มค่ำแล้วฝนยังไม่มีวี่แววจะหยุดตก บังเอิญเจอเพื่อนเก่าเข้าพอดีเลยชวนกันไปปาร์ตี้ชุดนอนรำลึกอดีตกัน

กริ๊งงงง! กริ๊งงงง!

ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ สายจากเบอร์ใหม่โทรฯเข้ามาทันที อินาโฮะหยิบมันขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง

[อาจารย์ไคสึกะ! ทำไมไม่เปิดเครื่องมือถือคะ!] รับสายได้ไม่ทันไรเสียงแหวจากปลายสายทำให้อินาโฮะต้องยกมันออกจากใบหูทันที เมื่อรอจนเสียงแปดหลอดนั้นบ่นจนพอใจจึงยกมันมาแนบหูอีกครั้ง

“ขอโทษครับ พอดีมือถือของผมเปียกน้ำตอนเก็บผ้าเลยทำให้พังซะแล้วละครับ”

[เสียใจด้วยนะคะ แล้วก็มีเรื่องจะรบกวนอาจารย์หน่อยน่ะค่ะ]

“...” อินาโฮะเงียบตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูด

[พอดีนักเขียนที่รับผิดชอบคอลัมน์สำคัญลาออกกะทันหัน ตอนนี้หาคนมีฝีมือมาแทนไม่ทันแล้ว ฉันคิดออกเพียงแต่อาจารย์เท่านั้น วานรบกวนอาจารย์ช่วยเขียนแทนให้หน่อยได้ไหมคะ]

ทั้งๆที่วันนี้เขาเพิ่งจะไปคุยกับอีกฝ่ายว่าขอลดงานลงแท้ๆ แต่เสียงร้อนรนจากปลายสายนั้นทำให้อินาโฮะรู้ว่าอีกฝ่ายเดือดร้อนจริงๆจึงใจอ่อนยอมตกลงรับงานนั้นมาทำ

หลังจากได้ฟังรายละเอียดงานที่ต้องเขียนเรียบร้อย อินาโฮะแทบจะกระโดดไปเกาะคอมฯทันที ตอนแรกนึกว่างานนั้นไม่เยอะเท่าไหร่ แต่พอได้ฟังคำร่ายยาวของผู้ดูแลที่โทรฯมาแล้วนำมาบวกลบคูณหารกับงานแต่เดิมที่มีอยู่แล้วของเขาทำให้ต้องนั่งเค้นสมองปั่นงานออกมาทันที ถ้าหากค่อยๆทำไปเรื่อยๆจนใกล้ถึงเส้นตายแบบทุกทีคงไม่ทันการเป็นแน่

สเลนเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำมองดูคนนั่งหน้าคอมฯ เขาพอรู้มาจากพี่สาวคนสวยที่เชิญเขาเข้ามาในบ้านนิดหน่อยว่าอินาโฮะทำงานเป็นนักเขียนคอลัมน์บทความ เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้นแบบนี้แล้วจึงเลือกที่จะนั่งลงบนโซฟาอย่างเงียบๆมองดูใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายจนกระทั่งผล็อยหลับไป

เขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นาฬิกาบนฝาผนังชี้บอกเวลาตีสี่ แสงไฟในห้องนั่งเล่นยังคงสว่างจ้าและอินาโฮะยังคงนั่งอยู่ในท่าเดียวกันกับตอนก่อนเขาหลับอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

“คุณอินาโฮะครับ” ดูท่าอีกฝ่ายจะมีสมาธิมากจนไม่ได้ยินเสียงของเขา เขาเลยเดินไปเขย่าไหล่ติดบางเล็กน้อยนั้นเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“มีอะไร อย่าเพิ่งกวนตอนนี้สิ กำลังติดลมอยู่เลย” กำลังติดลมของอินาโฮะหมายถึงสมองกำลังแล่น ไอเดียมากมายผุดขึ้นภายในหัวจนนิ้วที่กดแป้นคีย์บอร์ดแทบพันกัน

ความเร็วในการพิมพ์ของอินาโอะนั้นทำเอาสเลนยืนทึ่ง เขาบอกตามตรงเลยว่ามองตามไม่ทันเลยว่าอินาโฮะได้จิ้มแป้นพิมพ์อักษรตัวไหนไปแล้วบ้าง

“แค่กๆ” เสียงไอของอินาโฮะทำให้สเลนที่กำลังเดินหันหลังกลับไปหันกลับมาอีกรอบ เขาใช้หลังมือแนบไปยังบริเวณหน้าผาก ใบหน้า และลำคอ เพื่อสำรวจสมมุติฐานที่เขาตั้งไว้ภายในใจ แล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมาเมื่อพบว่าอินาโฮะจับไข้ตัวร้อนจี๋จนน่าเป็นห่วง

“อื้ม!” อินาโฮะปัดมือนั้นออกด้วยความรำคาญเพราะมันรบกวนสมาธิของเขา

“ผมว่าคุณควรพักได้แล้วนะครับ” เป็นเพราะตากฝนจนตัวเปียกแล้วไม่ยอมพักผ่อนแต่กลับโหมทำงานแบบนี้จะไม่สบายก็ไม่แปลกอะไรเลยสักนิด

“เอาไว้ทีหลัง”

“เอาไว้ทีหลังไม่ได้ครับ ต่อให้งานคุณสำคัญยังไงสุขภาพคุณก็ต้องมาก่อน”

สเลนดึงลากแขนของอินาโฮะให้ออกจากโต๊ะคอมฯแต่ก็ช่างยากเย็น สเลนได้ค้นพบบางอย่างเกี่ยวกับตัวอินาโฮะอีกข้อว่าชาติก่อนคนตรงหน้าต้องเกิดเป็นจิ้งจกไม่ก็ตุ๊กแกมาก่อนแน่ๆ กว่าเขาจะงัดแงะมือนั้นออกจากโต๊ะคอมฯได้ใช้ทั้งเวลาและพละกำลังไปมากโขเลยทีเดียว

“ไม่! ปล่อยนะ!” อินาโฮะทั้งดิ้นทั้งทุบลงบนบ่ากว้างเมื่อเขาถูกอีกฝ่ายอุ้มหิ้วพาดบ่า

“คุณ-ควร-พัก-ได้-แล้ว-ครับ” สเลนสะกดเน้นย้ำทุกคำพูดของตนเป็นการยืนยันว่าจะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายไปทำงานต่อแน่

เมื่ออินาโฮะเห็นว่าใช้กำลังกับสเลนไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาใช้ลูกอ้อนที่ห่างหายไปนานแทน แล้วมันก็ได้ผลเมื่อสเลนยอมใจอ่อนปล่อยให้อินาโฮะกลับไปทำงานตามเดิม

“สัญญาแล้วนะครับว่าถ้าเขียนคอมลัมน์เรื่องนี้เสร็จแล้วจะยอมพักผ่อนน่ะ”

“อื้ม”

สเลนแทบอยากเอาหัวโขกกำแพงตายที่ยอมใจอ่อนให้คนตรงหน้าง่ายดายถึงเพียงนี้ แค่อินาโฮะเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหลายครั้งแล้วเปลี่ยนจากทุบมาเป็นกอด แค่นี้ก็ทำเอาหัวใจของเขาอ่อนยวบเป็นมาร์ชเมลโลได้เลย

อินาโฮะรักษาสัญญา หลังจากเขียนคอลัมน์เสร็จไปอีกหนึ่งอย่างจึงยอมให้สเลนลากตัวไปนอนในห้องนอน ทันทีที่หัวถึงหมอนอินาโฮะกลับหลับเป็นตาย สเลนจัดแจงห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้วล้มนอนกอดคนตัวเล็กกว่าให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกโดยไม่กลัวติดหวัดแล้วเผลอหลับไปอีกครั้งอย่างมีความสุข

“ไม่คิดเลยว่าจะได้มาดูแลคุณตอนไม่สบายอีกครั้งนะครับ คุณอินาโฮะ”




“อือ” อินาโฮะปรือตาขึ้นมองเพดาน แสงแดดยามสายลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาแยงตา รู้สึกหัวหนักๆเหมือนถูกฆ้อนเหล็กทุบ

“นอนพักต่ออีกหน่อยเถอะ” สเลนนั่งอยู่ด้านข้างเอามืออังหน้าผากเพื่อวัดไข้แต่อุณภูมิร่างกายของอินาโฮะยังไม่ลดลง ทั้งๆที่นอนตอนเกือบสว่างแต่ทำไมถึงได้ตื่นเร็วนักนะ

“รู้สึกว่าจะลุกขึ้นไปนั่งหน้าคอมฯไม่ไหว งั้นฝากหยิบโน้ตบุ๊คมาให้หน่อยสิ”

สเลนถอนหายใจเฮือกให้กับคนบ้างานโดยไม่ยอมลุกทำตามคำขอของคนป่วย “งานคุณเร่งด่วนขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

อินาโฮะชั่งใจคิดเล็กน้อยแล้วตอบออกไป “ก็ไม่เร่งด่วนมาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อฟังผมแล้วล้มลงนอนพักซะ ถ้ายังดื้ออีกผมจับคุณปล้ำจริงๆแน่ต่อให้คุณจะป่วยก็ตาม” สเลนขู่

“ถ้าทำอย่างนั้นก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะคุยกับนายอีก”

คำตอบของอินาโฮะทำเอาสเลนสะอึก ในเมื่อข่มขู่ไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาเกลี้ยกล่อมแทน

“ขอร้องละครับพักเถอะ คุณลองคิดดูดีๆนะว่าระหว่างนอนพักหนึ่งวันแล้ววันต่อมาคุณกลับไปทำงานได้ปร๋อกับโหมทำงานทั้งๆที่ไข้ยังไม่ลด นอกจากวันต่อมาจะเป็นหนักขึ้นแล้วยังเป็นอุปสรรคต่อสมองทำให้คิดอะไรดีๆไม่ค่อยจะออกด้วย แล้วงานก็จะเดินหน้าช้าลง คุณจะเลือกแบบไหน?”

“...นอนพักก็ได้” อินาโฮะว่าง่ายยอมนอนลงแต่โดยดี หากนอนพักให้ไข้ลดในวันนี้แล้ววันหน้าจะสามารถทำงานได้เสร็จเร็วกว่าการโหมงานทั้งๆที่ป่วยหนักละก็ เขาย่อมต้องเลือกข้อแรกอยู่แล้ว

“ดีมากครับเด็กดี” สเลนลูบหัวอย่างอ่อนโยนแต่โดนอินาโฮะปัดทิ้งด้วยความรำคาญแล้วนอนหันหลังให้ก่อนจะหลับไป

สเลนค้นหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาพร้อมไล่ดูรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ของอินาโฮะก่อนจะกดโทรออกบอกเล่าเรื่องราวความดื้อรั้นและอาการต่างๆของอินาโฮะให้กับพี่สาวของเจ้าตัวฟัง

จากนั้นจึงลุกออกไปข้างนอกใช้เวลาไม่นานก็กลับมาพร้อมถุงยาและอาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อ เมื่อมองอินาโฮะจนแน่ใจแล้วว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกพักใหญ่จึงลงไปเปิดคอมฯด้านล่างแล้วอ่านบทความของอินาโฮะอย่างถือวิสาสะพลางตรวจหาคำผิดและแก้ไขให้ถูกต้องเป็นการลดภาระงานของคนป่วย

ระหว่างที่อ่านบทความนั้นเขายอมรับเลยว่าอินาโฮะนั้นมีความสามารถทางด้านนี้จริงๆ ตัวอักษรทุกตัวดูมีพลังและน่าสนใจเป็นอย่างมาก มิน่าล่ะทำไมบทความที่ฮินาโฮะเขียนถึงได้ฮิตขนาดนั้น(<<ฟังมาจากยูกิ พี่สาวผู้เป็นบราค่อน)

.

.

.

“ไม่!

“ถอด!

“ไม่!!

“ถอด!!

“ไม่!!!

“ถอด!!!

ถ้ากำลังถามว่าเถียงอะไรกัน สเลนคงตอบได้เพียงแค่ว่าหลังจากคนป่วยตื่นขึ้นมาเห็นเขากำลังจะปลดกระดุมเพื่อเช็ดตัวให้ เจ้าตัวกลับม้วนตัวเองอยู่ในผ้าห่มจนเป็นก้อนกลมอย่างน่ารักแล้วเถียงคอเป็นเอ็นว่าไม่ว่ายังไงก็จะไม่ให้เขาเช็ดตัวให้อย่างเด็ดขาด

“ก็บอกว่าไม่ก็คือไม่ ฉันไม่มีทางให้นายถอดเสื้อผ้าแน่ไอ้โรคจิต แค่อาบน้ำทำเองได้”

“ไม่ได้โรคจิตครับ สภาพแบบนี้ถ้าลื่นล้มหัวฟาดในห้องน้ำจะทำยังไง ผมเห็นคุณมาหมดทุกซอกทุกมุมแล้วยังจะอายอะไรกันอีก”

ทันทีที่จบประโยค หมอนใบใหญ่ลอยละลิ่วมาแปะหน้าสเลนข้อหาพูดอะไรออกมาไม่อายปาก

ปึด!

เหมือนเส้นความอดทนของสเลนหมดลง กระโจนเข้าไปแงะเด็กดื้อจากผ้าห่มก่อนจะเปลื้องผ้าอีกฝ่ายด้วยความเร็วแสงจนอินาโฮะตั้งตัวไม่ทัน อินาโฮะเม้มปากแน่นกอดร่างเปลือยเปล่าของตนเองด้วยความไม่พอใจ กับชายที่เคยทำแบบนั้นกับตนแล้วอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ไม่น่าไว้ใจ... ไม่น่าไว้ใจ...

ผิดคาดที่สเลนไม่แสดงท่าทีคุกคามเลยแม่แต่น้อย แต่กลับค่อยๆบรรจงเช็ดตัวให้เขาอย่างทะนุถนอมโดยไม่ล่วงเกินหรือแม้กระทั่งเฉียดเข้าใกล้ส่วนอันตรายต่างๆของอินาโฮะ สเลนสวมเสื้อผ้าให้คนตัวเล็กกว่าเรียบร้อยแล้วก้มลงไปจุมพิตที่แก้มของเจ้าตัวแล้วลูบหัวส่งท้ายเป็นการปลอบโยน

สเลนรู้ดีว่าอินาโฮะยังคงหวาดระแวง เป็นเพราะตัวเขาเองนั่นแหละที่เคยทำเรื่องไม่ดีกับอินาโฮะไว้ไม่ใช่น้อยๆ

“ผมไม่ทำอะไรคนป่วยหรอกครับ” ว่าแล้วก็ลุกออกไป พอลับสายตาของอินาโฮะสเลนตรงรี่เข้าห้องน้ำทันที คงไม่ต้องบอกกันนะว่าเข้าไปทำอะไรหากเห็นคนที่รักเปลือยกายต่อหน้าต่อตาแล้วไม่สามารถทำอะไรต่อมิอะไรกับอีกฝ่ายได้

อินาโฮะมองข้าว ยา และน้ำที่สเลนเตรียมไว้ให้ เขาลุกขึ้นยืนเดินตรงไปห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวให้เสร็จแล้วค่อยกลับมาทานทีหลัง แต่เมื่อกำลังจะหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำเปิดกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยกำลังเรียกชื่อของตนด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมด้วยอาการหอบหายใจรุนแรง

เขารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว พยายามโกหกตัวเองว่าเป็นเพราะพิษไข้ รู้สึกอายเกินกว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปจึงเลือกเดินกลับเข้าห้องแล้วสวาปามข้าวเข้าปากเพื่อให้ลืมเรื่องทั้งหมดที่ได้ยินเมื่อครู่

“สเลน โทรยาร์ด คนลามก”

ตกเย็นยูกิก็กลับมาถึงบ้านหลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อย น้องชายที่ปกติจะมายืนต้อนรับในวันนี้กลับกลายเป็นเพื่อนน้องชายหน้าตาหล่อเหลากระชากใจสาว สเลนช่วยยูกิถือของนำไปวางลงบนโต๊ะ

“อินาโฮะอาการเป็นยังไงบ้าง” ยูกิถามถึงอาการของอินาโฮะด้วยความเป็นห่วง วันนี้ทั้งวันเธอแทบจะไม่มีสมาธิทำงานเลย โชคดีที่มีสเลนอาสาคอยดูแลให้แทนไม่อย่างนั้นเธอคงขอลางานมาดูแลน้องชายเองเป็นแน่

“อาการดีขึ้นแล้วครับ กว่าจะกล่อมให้ยอมนอนโดยไม่ลุกมาทำงานได้เล่นเอาเหนื่อยเลย”

“แหม นาโอะคุงนี่นะ” เธอแสร้งทำน้ำเสียงติดดุเอ่ยถึงคนที่นอนอยู่ด้านบน “ขอบใจมากนะที่ช่วยดูแลนาโอะคุงให้น่ะ” ประโยคหลังเธอหันมายิ้มให้กับสเลนพร้อมเอ่ยขอบคุณจากใจจริง

สเลนชะงักไปเล็กน้อยเพราะเผลอเห็นใบหน้าของอีกคนหนึ่งซ้อนทับกับใบหน้าของสาวอายุมากกว่าตรงหน้านี้

“เป็นอะไรไป?” ยูกิเอียงคอสงสัยเมื่อรู้สึกตัวว่าถูกเด็กหนุ่มจ้องหน้านานผิดปกติ

“เอ่อ เปล่าครับ คือผมแค่คิดว่า...ไม่เคยเห็นอินาโฮะคุงยิ้มเลย เขามักจะชอบทำหน้านิ่งไม่ก็ขมวดคิ้วเวลาอยู่กับผมตลอด”

“ไม่ต้องคิดมากๆ หน้าตาของนาโอะคุงเป็นแบบนั้นตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าถึงขั้นขมวดคิ้วแปลว่าเธอคงทำอะไรให้ไม่พอใจมากๆล่ะสิ แต่ถ้ามีความสุขมากๆเดี๋ยวก็ยิ้มออกมาเองนั่นแหละเด็กคนนั้นน่ะ”

มีความสุขมากๆ...งั้นเหรอ? ทำยังไงล่ะ?

ครั้งเมื่ออินาโฮะยังเป็นเชลยไม่เคยมีทีท่าว่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ คิดอะไรอยู่เขาก็ไม่เคยรู้ หรือว่าเขาจะใส่ใจอีกฝ่ายน้อยไปจริงๆ แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไร นอกจากกิริยาที่แสดงออกมาให้เห็นว่าหงุดหงิดได้อย่างชัดเจนบางเรื่องแล้ว นอกนั้นอินาโฮะก็ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย

“ผมควรจะทำยังไงดี” สเลนเปรยออกมาแผ่วเบา

ยูกิยิ้มอย่างเอ็นดู เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของสเลนกับน้องชายเธอเป็นอย่างไรหรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ แต่ว่าชายหนุ่มอายุน้อยกว่าตรงหน้านี้ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เธอจะช่วยให้คำใบ้หน่อยคงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้งนะ “ดวงตาเป็นหน้าต่างของจิตใจ ลองใช้ใจมองดูสิ เธออาจค้นพบสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้นะ”

“ครับ?”

ถึงพี่สาวคนนั้นจะพูดอย่างนั้น...

ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...

ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะนะ!!!

พออินาโฮะเริ่มอาการดีขึ้นสิ่งแรกที่สเลนทำคือการตรงดิ่งไปเล่นจ้องตากับอีกฝ่าย แต่ไปๆมาๆฝ่ายที่แพ้กลับเป็นเขาเองเพราะอินาโฮะนั่งนิ่งเป็นหินไม่ไหวติงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

นี่พี่สาวคนนั้นจะให้เขาอ่านอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าขอนไม้นี่จากดวงตาน่ะเรอะ!!! นั่งจ้องกันมาร่วมสามสิบนาทีแล้วดวงตาคู่นั้นยังไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย สเลนคิดแล้วอยากจะร้องไห้ สงสัยพี่สาวคนนั้นคงต้องเป็นพวกเอสเปอร์แน่นอน!

“ไข้ลดลงแล้ว ปล่อยให้ไปทำงานได้หรือยัง”

“อะ...อา...”

อินาโฮะลุกขึ้นเดินลงไปชั้นล่างโดยไม่สนใจคนจิตตกที่นั่งปล่อยไอมืดมนห่มคลุมร่างกาย

ตลอดเวลาห้าวันมานี้สเลนได้ข้อสรุปในใจว่าในหัวสมองของอินาโฮะคงเต็มไปด้วยงาน งาน งาน และงาน แถมพี่สาวไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง ส่วนตัวตนของเขานั้นจะเรียกได้ว่า...อยู่นอกสายตา สเลนคอยสังเกตอินาโฮะเรื่อยมาจนได้เห็นมุมใหม่ๆ เขารู้ว่าอินาโฮะเป็นคนฉลาดมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่สมองตันจนไม่สามารถเขียนบทความดีๆออกมาได้ บางครั้งก็ชอบนั่งเหม่อ พอรู้สึกตัวอีกทีก็จะหันมาพิมพ์งานต่อ

การสังเกตพฤติกรรมของอินาโฮะนั้นทำให้สเลนเริ่มรู้สึกว่าจะเริ่มรู้จักกับตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม เขาชอบตอนที่อินาโฮะเหม่อลอยหรือนั่งนิ่งเหมือนคนกำลังคิดอะไรมากที่สุด เพราะเวลาเขาฉวยหอมแก้มนั้นอินาโฮะจะเบิกตาโตเล็กน้อยหายใจกระตุกหน่อยๆเป็นการแสดงอาการตกใจแม้ว่าในวินาทีต่อมาจะถูกปรับกลับมาให้เป็นปกติแบบเดิมก็ตามที

ตรู๊ด~

ตรู๊ด~

เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงเรียกความสนใจของเจ้าของเครื่องได้เป็นอย่างดี สเลนหยิบมันขึ้นมากดรับ ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายใบหน้าอ่อนโยนฉับพลันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน่าเคร่งขรึมก่อนจะวางสายไปเมื่อคุยธุระกับปลายสายเสร็จสิ้น

“ไคสึกะ อินาโฮะ” สเลนเอ่ยเสียงเรียกคนหน้าคอมฯ แต่ดูเหมือนว่าอินาโฮะได้ทำการเข้าสู่โลกส่วนของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย สเลนเห็นอย่างนั้นจึงแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจแล้วเลือกเดินออกไป ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะได้รับฟังหรือไม่ก็ตาม “เดี๋ยวผมกลับมานะครับ”




“เสร็จไปอีกหนึ่งงาน” อินาโฮะผละตัวจากหน้าคอมฯ ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายผ่อนคลาย เขาเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นรินใส่แก้วแล้วกระดกดับความกระหายก่อนจะกวาดตามองรอบบ้าน ไร้วี่แววคนคุ้นตาที่ปกติมักจะชอบเกาะแจเป็นเงาตามตัว “หมอนั่นไปไหนกัน” กว่าจะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมาก็ตอนเดินไปได้สามก้าว อินาโฮะสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆบอๆในสมองของตนออก

คำพูดเมื่อกี้นี้เหมือนกับว่าเขากำลังห่วงเจ้าตาชี้นั่นเลย เป็นไปไม่ได้...เขาไม่ได้ห่วงสักหน่อย ไม่เลย ไม่เลยสักนิด

ปึง! แก้วน้ำถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะ

อินาโฮะไม่เข้าใจตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาระบายอารมณ์ลงกับสิ่งของ สมองคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนาๆจนถึงขั้นคิดว่าอีกฝ่ายคงหมดความสนใจในตัวของเขาแล้ว

แล้วทำไมเขาต้องแคร์ เจ้าบ้านั่นจะเป็นตายร้ายดีที่ไหนก็ช่าง ออกไปจากบ้านนี้ได้สิยิ่งดี ความเป็นส่วนตัวของเขาจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมสักที

ปิ๊บ!

จอทีวีถูกเปิดเพื่อดับความคิดฟุ้งซ่าน โทรทัศน์ฉายรายการสะกดจิตพลันเปลี่ยนเป็นช่องข่าวด่วน ไม่ว่าอินาโฮะจะไล่รายการไปช่องไหนๆก็ตามตอนนี้ได้กลายเป็นช่องข่าวด่วนจนหมดแล้วทำให้จำต้องดูอย่างช่วยไม่ได้

[รายงานข่าวด่วน...]

ผู้ประกาศข่าวสาวรายงานข่าวด้วยสีหน้าขึงขัง ฉากหลังของเธอเป็นภาพควันกลุ่มใหญ่พวยพุ่งออกมาจากตึกแห่งหนึ่ง รถตำรวจวิ่งวุ่นส่งเสียงไซเรนแสบแก้วหู ประชาชนในละแวกนั้นต่างตื่นตระหนกวิ่งกันชุลมุนวุ่นวาย

ณ ปัจจุบันในห้องนั่งเล่นของบ้านไคสึกะโทรทัศน์รายการข่าวด่วนถูกเปิดทิ้งไว้ และผู้ที่กำลังนั่งดูมันคือ... ไม่มี ปราศจากเงาของสิ่งมีชัวิตโดยสิ้นเชิง

“สเลน” อินาโฮะวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกลงมากะทันหัน ถึงจะเหนื่อยล้าแต่ร่างกายกลับสั่งให้เขาวิ่ง วิ่งไปยังสถานที่ๆมีคนๆนั้นอยู่ สถานที่ๆหัวใจเพรียกหา

จากรายงานข่าวสดทำให้อินาโฮะรู้ว่ามีกลุ่มต่อต้านได้วางแผนลอบสังหารองค์หญิงอัสเซลัม ในฐานะที่สเลนเป็นองครักษ์คงรู้เรื่องนี้แล้วออกไปปฏิบัติหน้าที่ปกป้ององค์หญิงอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้เขาใจเสียไม่ใช่เรื่องที่สเลนไปปฏิบัติหน้าที่แต่เป็นเรื่องที่ได้ฟังมาจากข่าวเมื่อครู่

องค์หญิงปลอดภัยดีเพราะได้รับความช่วยเหลือจากทหารจากประเทศของทั้งสองฝ่าย ส่วนหัวหน้าหน่วยองครักษ์ถูกยิงบาดเจ็บสาหัสยังติดอยู่ภายในตึก! นั่นเป็นคำให้การจากปากองค์หญิง

เมื่อมาถึงที่หมาย บริเวณรอบตึกสูงถูกกั้นแถบเทปสีเหลืองห้ามเข้า ทั้งตำรวจและทหารต่างตั้งปราการพร้อมรับมือกับเหตุการณ์เบื้องหน้า

“นี่เธอ มายืนอะไรอยู่ตรงนี้ ไปหาที่หลบภัยซะที่นี่อันตรายแล้ว!

เจ้าหน้าที่นายหนึ่งหนึ่งเดินมาจับบ่าอินาโฮะ แถมยังเป็นเจ้าหน้าที่ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเสียด้วย อินาโฮะยังคงยืนนิ่งสมองประมวลผลถึงสิ่งที่ตัวเองพอทำได้ ถึงจะเลิกเป็นทหาร ถึงจะไม่ได้ออกกำลังกาย แต่มันสมองอันนี้มันยังไม่ฝ่อไปตามกาลเวลาหรอกนะ!

“ดีใจจริงๆที่พบคุณที่นี่ร้อยเอก...ไม่สิ พันตรีมาริโตะ ผมมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือ”

.

.

.

“ฉันคงโดนตำหนิแน่หากเบื้องบนรู้ว่าฉันเอาประชาชนธรรมดามาเกี่ยวข้องด้วย” มาริโตะกุมขมับนึกถึงข้อตกลงที่เพิ่งทำกับอดีตทหารผู้เป็นเลิศในด้านการวางแผนกลยุทธ

“แลกกับแผนการที่ผมคิดขึ้นกับให้ผมมีส่วนร่วมในการปราบปรามการก่อความไม่สงบ หากคุณสั่งลูกน้องในแผนการครั้งนี้ปิดปากเงียบก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอยู่แล้วละครับ” อินาโฮะเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดเครื่องแบบรัดรูปที่ยืมมาได้จากแถวๆนั้น ปืนพกหนึ่งกระบอกกับซองกระสุนถูกเหน็บไว้ข้างเอว เฮดโฟนติดต่อสื่อสารถูกจัดให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะทำการทดสอบคุณภาพเล็กๆน้อยๆ

...เขารู้สึกคิดถึงอย่างประหลาด...

“เธอไหวแน่นะไคสึกะคนน้อง” มาริโตะถามอย่างเป็นห่วง ยังไงซะคนตรงหน้าก็ล้างมือไปนานแล้ว จู่ๆจะหวนกลับมาทั้งที่ไม่ได้เตรียมพร้อมร่างกายล่วงหน้านี่ก็กะไรอยู่

สิ่งใดมีอาวุธมาเกี่ยวข้องย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ข้อนี้อินาโฮะน่าจะรู้ดียิ่งกว่าใคร

“ไปกันเถอะครับ”




โชคดีที่การก่อจลาจลในครั้งนี้ไม่มีตัวประกันทำให้ทั้งตำรวจและทหารบุกเข้าไปได้โดยง่าย แต่ปัญหาของคดีนี้คือผู้ก่อการร้ายมีอาวุธครบมือหลบซ่อนอยู่ภายในตึก

“พวกมันตอนนี้ก็เหมือนหนูติดจั่น การลอบสังหารล้มเหลว ไม่มีตัวประกันให้มาต่อรอง ด้านนอกมีตำรวจกับทหารล้อมไว้ ส่วนภายในก็มีหน่วยบุกทะลวงอย่างพวกเราอยู่”

นั่นเป็นสิ่งที่อินาโฮะกล่าวไว้หลังจากดูแผนผังภายในของตึกเป้าหมาย แถมยังสั่งให้หน่วยทหารอากาศตั้งรับคอยรับคำสั่งอยู่บนดาดฟ้าอีกทางเป็นการปิดประตูตีแมว มีเพียงสองสิ่งที่เสียเปรียบคือการไม่รู้กำลังพล จำนวนและประเภทของอาวุธที่อีกฝ่ายใช้อย่างละเอียด

ชั้นแรก CLEAR

ชั้นสอง CLEAR

ชั้นสาม CLEAR

ชั้นสี่ CLEAR

ชั้นห้า CLEAR

.

.

.

ชั้นสิบ CLEAR

สิบชั้นแรกเป็นชั้นที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนและถูกสำรวจไปล่วงหน้าแล้วว่าปลอดภัยไม่มีระเบิดซุกซ่อน ตั้งแต่ชั้นที่สิบเอ็ดขึ้นไปจะเป็นชั้นที่มีโครงสร้างซับซ้อนเล็กน้อยและห้องหับอีกมากมาย

อินาโฮะหายใจหอบเนื่องจากใช้บันไดหนีไฟเป็นทางเดินหลักในการมุ่งสู่ชั้นต่อไปแทนที่จะใช้ลิฟท์ การใช้ลิฟท์นั้นเป็นความคิดโง่เง่าทางหนึ่ง นอกจากบอกตำแหน่งให้ศัตรูรู้ล่วงหน้าหากถูกดักหน้ากระหน่ำยิงตอนลิฟท์เปิดออกโอกาสรอดคือศูนย์ แต่อย่างไรก็ตามอินาโฮะมีวิธีทำให้เจ้าลิฟท์ไร้ค่าตัวนั้นมีประโยชน์ขึ้นมาได้

“จากหน่วยมัสแตง 00 แสตนด์บายพร้อมแล้ว” เสียงแผ่วเบาราวกระซิบเอ่ยผ่านไมค์จิ๋วของอินาโฮะส่งถึงผู้รอรับคลื่นจากอีกฟาก “พบศัตรูที่สามารถมองเห็นได้ในชั้นนี้หกคน เริ่มแผนตัวล่อได้เลย”

[รับทราบ!]

หมายเลขของลิฟท์เลื่อนลงไปหยุดอยู่ที่ชั้นหนึ่งและเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ หนึ่งในผู้ก่อการร้ายสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของลิฟท์ได้เรียกเพื่อนพ้องคนอื่นๆให้ตั้งท่าคอยกระหน่ำผู้บุกรุกจากทางลิฟท์ นิ้วสวมถุงมือกดปุ่มลิฟท์ลูกศรขึ้นด้านบนโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประตูลิฟท์ตัวนั้นเปิดออกทันทีที่กำลังจะผ่านชั้นนี้

ติ๊ง!

เสียงลิฟท์ดังเป็นสัญญาณเตือนว่าประตูกำลังจะเปิดออก ทันทีเหล่าผู้ก่อการร้ายเห็นภายในลิฟท์ตัวนั้น มาริโตะส่งสัญญาณให้ลูกน้องในหน่วยห้าคนรวมตัวเขาและอินาโฮะโผล่ไประดมยิงทันที

ได้ผลเป็นไปตามคาด ผู้ก่อการร้ายหกคนไม่มีใครรอดชีวิต

เสียงดังสนั่นจากการปะทะปืนเงียบลง ไม่มีพวกพ้องโผล่มาเพิ่มหรือเสียงเอะอะโวยวายทำให้อินาโฮะพอรู้ได้อย่างหนึ่งว่าห้องสองข้างทางนี้ไม่มีศัตรูซุ่มอยู่ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้จนกว่าจะได้เช็คครบทุกห้อง

“ชั้นสิบเอ็ด CLEAR ต่อไปจะทำการบุกชั้นสิบสอง แผนตัวล่อคงใช้ไม่ได้ผลแล้ว” อินาโฮะรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้ปลายสายทราบ

“ว่าแต่มันแปลกนะที่ไม่มีใครเฝ้าทางหนีไฟเลย” มาริโตะวิเคราะห์

“พวกตำรวจและทหารส่วนใหญ่ที่บุกเข้าทางด้านหน้าก็ดึงความสนใจของพวกนั้นไปจนหมด จากที่ผมคาดเดาไว้กำลังพลของอีกฝ่ายคงมีไม่เยอะอย่างที่พวกเราคิด น่าจะประมาณยี่สิบ...ไม่สิ สามสิบละมั้งครับ”

“อา จากที่เธอพูดมามันก็เยอะอยู่นา”

“พวกนั้นตอนนี้กำลังหาทางหนี อีกไม่นานคงได้ปะทะกันซึ่งๆหน้า”

ชั้นที่สิบเก้าไร้เงาคนปรากฎร่องรอยการต่อสู้ กระสุนปืนนับไม่ถ้วนเจาะฝังอยู่ในผนัง อินาโฮะใจหายที่เห็นหยดเลือดเป็นทางกระจัดกระจายไปคนละทิศ

“เข้าใกล้คนร้ายแล้วสินะ องครักษ์ขององค์หญิงอัสเซลัมแต่ละคนฝีมือก็ไม่ใช่เล่นๆเลย ต้อนเจ้าพวกนั้นให้ขึ้นไปชั้นบนได้ ส่วนพวกที่อยู่ชั้นล่างนั่นคงเป็นพวกที่มันเหลือไว้ให้เป็นผู้สังเกตการณ์ก่อนทำการจลาจลแน่ๆ ฉันคิดถูกไหมไคสึกะคนน้อง”

“ประมาณนั้นครับ”

“แยกกันสำรวจให้ทั่ว ตรวจเช็คทุกห้องทุกซอกทุกมุม หากใครเห็นอะไรผิดปกติแจ้งทันที!” มาริโตะสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทหารแต่ละคนตั้งท่าถือปืนในท่าเตรียมพร้อมทุกเมื่อแยกย้ายกันไปคนละทางรวมถึงอินาโฮะด้วย

อินาโฮะตามหนึ่งในจำนวนรอยเลือดมาถึงห้องน้ำชาย ฝีเท้าเวลาก้าวเดินนั้นแทบจะไร้ซึ่งเสียง ประตูห้องน้ำแต่ละห้องถูกเปิดอ้าไร้เงาคน จนกระทั่งห้องสุดท้ายกลับถูกปิดสนิท อินาโฮะมองลอดผ่านช่องใต้ประตูไร้วี่แววคนจึงเลือกเข้าไปในห้องน้ำข้างๆปีนขึ้นไปชะโงกหน้าพร้อมตั้งปืนเล็ง

ว่างเปล่า...

ว่างเปล่าทั้งๆที่ลงกลอนไว้อย่างดีอย่างนี้เหรอ...!

ครืด!

ผัวะ!

โครม!

ไม่ทันให้ได้คิดอะไร ทันทีที่อินาโฮะได้ยินเสียงจากด้านหลังนั้นแรงกระแทกอย่างแรงบริเวณข้างศีรษะก็ทำให้ร่างของเขาลอยหวือกระเด็นออกไปนอนกลิ้งอยู่กลางห้องน้ำอย่างหมดท่า

ร่างของเขาถูกจับล็อกไขว้หลังลำตัวแนบพื้น ปืนที่เคยอยู่ในมือกลับถูกชิงไปจ่อท้ายทอยของเจ้าของที่เคยถือมัน

“ตอบมา ข้างนอกยังมีพวกของแกอยู่อีกกี่คน” ปืนถูกกดลงมาเป็นการเร่งเร้าคำตอบ

“ถ้าเหนี่ยวไก เสียงปืนจะทำให้พวกข้างนอกรู้ทันทีว่ามีศัตรูอยู่ที่นี่” อินาโฮะเหลียวใบหน้าชายตามองจ้องศัตรู แต่ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนดีใจในเวลาเดียวกัน ส่วนอีกฝ่ายเองนั้นก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก

“...ส...สเลน...”

“ไคสึกะ...อินาโฮะ...” ปืนที่จ่ออยู่ถูกชักเก็บกลับเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่ตนคุ้นเคยดี “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้” สเลนพยุงตัวอินาโฮะลุกขึ้นนั่งพลางลูบข้างแก้มที่โดนเขาวาดกำปั้นออกใส่เข้าอย่างเต็มแรง

“ได้ยินว่านายบาดเจ็บ...” อินาโฮะเหลือบมองเสื้อชุ่มเลือดกับสีหน้าที่เริ่มซีดอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ ผมขอโทษด้วยทำปากคุณแตกเลย”

อินาโฮะหันมองฝ้าเพดานถูกเปิดออก สเลนคงใช้แผนล่อให้ศัตรูปีนห้องน้ำด้านข้างเพื่อสำรวจห้องน้ำอีกห้องหนึ่งแล้วโผล่จากฝ้าเพดานด้านหลังซัดใส่ศัตรูแบบที่ทำกับเขาเมื่อครู่สินะ

“เป็นแผนที่บ้าดีเดือด ถ้าคนที่มาเป็นฝ่ายศัตรูจริง ๆ แล้วมากันหลายคนนายคงไม่รอด”

“ไม่หรอกครับ ผมแน่ใจแล้วต่างหากว่ามีคนเข้ามาเพียงคนเดียวแล้วไม่มีใครเฝ้าอยู่ข้างนอกด้วย”

อินาโฮะเอียงคอเล็กน้อยอย่างสงสัย เขาแน่ใจแล้วว่าตนเองเดินได้ฝีเท้าเบาที่สุดแล้วแท้ๆ และดูเหมือนสเลนจะพออ่านสีหน้านั้นออกอยู่บ้างจึงตอบออกไปโดยไม่ต้องถามให้เหนื่อย

“ถ้าคุณไม่เดินให้เบาเท่ากับแมวก็ไม่มีวันที่ผมจะไม่รู้หรอก” คำหยอกเล็กๆแต่แสดงถึงพัฒนาการ

เมื่อก่อนอินาโฮะคิดว่าหากเขาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมคงจะประมือตัวต่อตัวกับคนๆนี้ได้สูสี แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้ต่อให้ตัวเองกลับไปอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมก่อนออกสู่สนามรบอย่างสมัยก่อนคงสู้กับคนตรงหน้าในปัจจุบันนี้ไม่ได้ อินาโฮะยอมรับเลยว่าสเลนเก่งขึ้นแล้วจริงๆ

“ว่าไงครับจะตอบคำถามผมได้รึยังว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ เท่าที่ผมรู้คุณลาออกจากการเป็นทหารแล้วนี่ครับ”

“คนเจ็บน่ะเงียบปากไปซะ ทางที่ดีตอนนี้เราสองคนควรออกไปสมทบกับพวกด้านนอก” อินาโฮะเลี่ยงที่จะตอบคำถามแล้วหันมาพยุงสเลนเดินออกไปแทน เท่าที่ดูคงโดนยิงที่ท้องเสียเลือดมากจนแทบจะยืนไม่ไหวยังทำเก่งฝืนพูดคุยให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้เขาห่วง ช่างเป็นคนที่บ้าซะจริง จะอ่อนแอต่อหน้าเขาสักหน่อยก็ไม่ว่าหรอกนะ

หลังจากออกมาจากห้องน้ำ มาริโตะและพรรคพวกต่างวิ่งกรูกันเข้ามาดูอาการของสเลน พอเปิดเสื้อดูก็พบว่าแผลสาหัสจริง มาริโตะตัดสินใจสั่งให้อินาโฮะพาสเลนหนีออกไปก่อนส่วนเรื่องต่อจากนี้มาริโตะจะเป็นคนสานต่อเองโดยไม่มีอินาโฮะ

“เดี๋ยวก่อนครับ!” สเลนเอ่ยรั้งมาริโตะที่กำลังจะรุดหน้าไปยังชั้นบนต่อ

“มีอะไร”

“ระวังด้วย...พวกมันมีระเบิด”

“เข้าใจแล้ว”

แผ่นหลังกว้างนั้นดูองอาจ อินาโฮะทำความเคารพแบบทหารครั้งสุดท้ายก่อนจะพาสเลนเดินลงบันไดหนีไฟไปยังเบื้องล่าง ทันทีที่ออกมาจากตึกอย่างปลอดภัยหน่วยแพทย์ต่างรีบวิ่งมารับตัวสเลนขึ้นรถนำไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที อินาโฮะไม่ขอตามไปด้วยเพราะยังคงเป็นห่วงมาริโตะที่อยู่ด้านใน

ควันขโมงพร้อมเสียงระเบิดจากด้านในทำให้รู้ว่าตอนนี้ได้มีการปะทะกันเกิดขึ้น มีการติดต่อเข้ามาจากหน่วยมัสแตงเป็นระยะๆ อินาโฮะบอกแผนของตนเท่าที่จะคิดได้ให้แก่มาริโตะจนท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวทุกอย่างก็จบลงโดยที่ผู้ก่อการร้ายถูกจับตัวได้หมดเพราะถูกจู่โจมจากทุกทิศทางทั้งหน่วยมัสแตงและหน่วยอื่นๆ มีทหารบาดเจ็บไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ทางฝั่งผู้ก่อการร้ายล้มตายหลายคนกับบาดเจ็บหนัก ศึกครั้งนี้นับว่าสูญเสียน้อยที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับศึกครั้งอื่นๆที่อินาโฮะเคยพานพบ

จากนั้นพอยูกิรู้ข่าวว่าอินาโฮะแอบมีเอี่ยวในเหตุการณ์ลอบปลงพระชนย์เลยโดนเอ็ดไปยกใหญ่ อินาโฮะวางงานทั้งหมดหาเวลาว่างไปเยี่ยมสเลนที่โรงพยาบาลเพราะได้ข่าวว่าหมอผ่าตัดเอากระสุนออกอย่างปลอดภัยอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย ทันทีที่โผล่เป็นให้คนไข้จากต่างแดนเห็นหน้าก็โดนตัดพ้อต่อว่าว่าทิ้งกันได้ลงคอ

“ทั้งๆที่คนที่ผมอยากเห็นหน้าเป็นคนแรกหลังจากตื่นขึ้นมาเป็นคุณแท้ๆ”

“เสร็จแล้ว” อินาโฮะเมินพลางยื่นแอปเปิ้ลปอกเป็นรูปกระต่ายจัดใส่จานยัดใส่มือคนป่วย

“อ้อ หลังจากมาคิดดูแล้วเรื่องในตึกคราวนั้นเหตุผลที่คุณมาร่วมกับกองทหารอีกเพราะว่าคุณห่วงผมใช่ไหมครับ”

“...”

“ไม่ตอบแปลว่าใช่นะครับ”

“...”

”ฮะๆ ดีใจจัง”

ตอนนี้อินาโฮะรู้สึกอยากเอามีดปอกผลไม้ในมือนี่กระซวกคนหน้าระรื่นตรงหน้าให้ตายเสียจริงๆ

“ดีใจนะครับที่ยังรู้ว่าคุณห่วงผม ตอนแรกผมนึกว่าความรู้สึกของคุณที่เคยบอกผมตอนผมติดอยู่ในคุณนั้นจะเปลี่ยนไปแล้วซะอีก” สเลนเอื้อมมือวางทับหลังมือของอินาโฮะแผ่วเบาพลางยิ้มออกมาอย่างเปี่ยมสุข “หลังจากนี้เรามาคบกันแบบคนรักได้ไหมครับ เราสองคนมาเริ่มต้นทุกอย่างกันใหม่”

“หกเดือน...” อินาโฮะที่นิ่งเงียบไปนานตัดสินใจเอ่ยปากบอกสิ่งที่อยู่ในใจไปจนหมดเปลือก “หกเดือนกับสิ่งที่นายเคยทำไว้มันสลักอยู่บนร่างกายนี้ ทั้งดวงตาและรอยแผลเป็นคอยตอกย้ำอยู่เสมอว่าครั้งหนึ่งศักดิ์ศรีของฉันถูกเหยีบย่ำจนไม่อาจอยู่ในฐานะมนุษย์ได้ ทุกๆคืนฉันฝันร้ายกระทั่งตอนที่หนีออกมามันยังตามมาหลอกหลอน นายรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันเป็นโรคหวาดกลัวการมีเพศสัมพันธ์ หากมีผู้ชายเข้ามาใกล้รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรกับตัวเองแต่ร่างกายมันก็อดสั่นไม่ได้ทุกครั้ง”

“...”

“หกเดือนนั้นมันมากพอแล้วสำหรับฉัน”

“...โอกาสอีกสักครั้งคุณให้มันไม่ได้เลยเหรอ?” สเลนก้มหน้าลงต่ำ รู้สึกผิดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำลงไป

“ได้สิ”  คำตอบเกินคาดออกมาจากปากของอินาโฮะ “หกปี...นับจากนี้ไปอีกหกปี หากความรู้สึกของนายยังคงไม่แปรเปลี่ยนเมื่อนั้นเราจะกลับมาพบกันอีกครั้ง”

สเลนชะงักค้างทันที สิ่งที่อินาโฮะพูดนั้นหมายถึง... “คุณกำลังจะบอกว่าห้ามไม่ให้ผมพบหน้าคุณถึงหกปีงั้นเหรอ!

“ใช่ ถ้าหากนั่นคือความรักจริงๆ ฉันจะยอมตกเป็นของนายอีกครั้ง”

สายลมพัดผ่านม่านพริ้วไหว สเลนอยากเอื้อมมือคว้าแผ่นหลังนั้นไว้เจียนใจจะขาด ประตูปิดลงพร้อมห้องที่อ้างว้างเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้น

หกปีที่ไม่มีนาย

หกปีที่ไม่มีคุณ

มันทำให้ฉันได้รู้ว่า...

มันทำให้ผมได้รู้ว่า...

ถึงไม่มีนายฉันก็อยู่ได้

ถึงไม่มีคุณผมก็อยู่ได้

บางครั้งเผลอลืมเลือนเรื่องของนายไปจากสมอง

บางครั้งเผลอลืมเลือนเรื่องของคุณไปจากสมอง

แต่ทุกครั้งพอเหม่อมองผ่านหน้าต่างบานเล็กๆ

แต่ทุกครั้งพอเหม่อมองไปยังหน้าต่างบานมโหฬาร

มักจะมีหน้านายผุดลอยขึ้นมา

มักจะมีหน้าคุณผุดลอยขึ้นมา

...สเลน โทรยาร์ด...

...ไคสึกะ อินาโฮะ...



Fin





























S p e c i a l  : S l a i n e


แสงแดดลอดผ่านผืนผ้าม่านเข้ามาในห้อง ผมขยี้ตาไล่ความง่วงงุนลุกขึ้นไปปิดผืนผ้าม่านให้มิดชิดกว่าเดิมโดยระวังไม่ให้คนบนเตียงอีกคนตื่น

ปกติอินาโฮะจะตื่นก่อนผมเสมอแต่วันนี้กลับเป็นผมที่เป็นฝ่ายตื่นก่อน นั่นก็เพราะนานๆทีอินาโฮะจะยอมให้ผมกกกอดร่างกายนั้นสักทีมันก็เลยเผลอไปนิด...ละมั้ง เสร็จแล้วก็เป็นอย่างที่เห็น อินาโฮะหลับเป็นตาย

สาเหตุที่อินาโฮะไม่ค่อยยอมให้ทำบ่อยๆนั่นก็เป็นเพราะยังฝังใจกับเรื่องที่โดนข่มขืนตอนถูกจับเป็นเชลย แล้วคนที่ข่มขืนอีกฝ่ายไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นผมเองนี่แหละ ทุกครั้งที่พวกเราทำเรื่องแบบคนรักกันอินาโฮะมักจะนึกถึงเรื่องนั้นเสมอ ถ้าหากยังไม่พร้อมจริงๆร่างกายของอินาโฮะจะปฏิเสธผมอย่างสิ้นเชิง ทั้งเตะ ทั้งผลัก ทั้งข่วน กระทั่งกัดก็ยังมี บางครั้งปากเจ้าตัวเองก็บอกอนุญาตแต่ร่างกายกลับปฎิเสธเสียอย่างนั้นก็มี

ผมรู้ว่าอินาโฮะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในเอาชนะความกลัวของตัวเอง ฉะนั้นผมจึงไม่เคยเร่งเร้าหรือใช้กำลังรุนแรงกับอินาโฮะอีกเลย

ผมเท้าคางเอนมองใบหน้ายามหลับของอินาโฮะอย่างเปี่ยมสุข พลางเกลี่ยผมนุ่มดุจแพรไหมสีน้ำตาลเข้มพราวระยับของคนตรงหน้า ในหัวย้อนคิดถึงวันแห่งคำสัญญา

ในวันนั้นพอผมได้พบกับเขาอีกครั้งหัวใจที่เคยคิดว่าด้านชาไปแล้วกลับเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกตื้นตันเต็มอกและโหยหาอย่างสุดใจทำให้ผมโผเข้ากอดอินาโฮะกลางที่สาธารณะอย่างไม่อายใคร อินาโฮะดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูน่ารักขึ้นจนแทบจำไม่ได้ อาจเป็นเพราะผมยาวสลวยประสะโพกนั่นหรือเปล่านะ แต่หลังจากที่พวกเราใช้เวลาพิสูจน์หัวใจและตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่กันแล้วเจ้าตัวได้ตัดสินใจตัดผมให้กลับมาสั้นดังเดิม ผมมารู้ทีหลังว่าหลังจากวันที่พวกเราให้คำมั่นสัญญากันอินาโฮะก็ไม่เคยตัดผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงผมจะแอบเสียดายเส้นผมยาวๆนั่นนิดหน่อย แต่ก็เอาเถอะ...ยังไงไม่ว่าอืนาโฮะของผมจะทำผมทรงไหนก็น่ารักอยู่ดีนั่นแหละ

“อือ...”

“อา ตื่นแล้วเหรอ นอนพักต่ออีกสักหน่อยเถอะ”

“สเลน...เหรอ?”

“แล้วคิดว่าผมเป็นใครล่ะครับ ถามแบบนี้หรือว่าคุณมีคนอื่นอีกรึไง บอกมาให้หมดผมจะไปฆ่ามัน”

“บ้าอะไรของนาย”

คำหยอกล้อของผมดูเหมือนว่าจะทำให้คิ้วของอินาโฮะขมวดติดกันตั้งแต่เช้า

“ล้อเล่นหรอกครับ ผมรู้ว่าในหัวใจของคุณมีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นแหละ”

“หลงตัวเอง”

“ครับๆ กับคุณคนเดียวเท่านั้นแหละ”

“เจ้าบ้า” ว่าพอเป็นพิธีอินาโฮะก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป แต่ว่าถ้าตาผมไม่ฝาดหรือฟั่นเฟือนเมื่อกี้รู้สึกว่าจะ...

“อ๊ะ! เฮ้...เมื่อกี้คุณยิ้มใช่ไหม ขอผมดูอีกทีสิ นะ นะ นะ”

“เจ้าบ้าสเลน คนจะอาบน้ำนายออกไปได้แล้ว”

“โธ่ อายอะไรกันครับ เห็นกันมาตั้งไม่รู้กี่รอบแล้วอย่างน้อยก็เมื่อคืนล่ะ แล้วก็วันนี้ทั้งวันผมจะเกาะติดคุณไปทุกที่เลยจนกว่าคุณจะยิ้มให้ผมเห็นอีกครั้งน่ะ” เสียงโหวกเหวกเล็กๆน้อยๆในยามเช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นในห้องๆหนึ่งเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นความสุขของคู่รักรับอรุณ

ความรักของพวกเราเริ่มต้นจากความสัมพันธ์อันขมขื่น ในตอนนั้นพวกเราไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะชักนำพาจนมาถึงจุดๆนี้ได้ มันแสนน่าเหลือเชื่อแต่ก็เป็นไปแล้ว

“นี่ สเลน”

“หืม?” ผมขานตอบเล็กน้อยพร้อมกับสูดดมผมเส้นผมนุ่มหอมละมุน ตอนนี้พวกเรากำลังแช่น้ำในอ่างด้วยกันโดยผมกำลังโอบกอดคนตัวเล็กกว่าจากด้านหลัง อันที่จริงอินาโฮะก็โตขึ้นกว่าแต่ก่อนนิดหน่อยแต่ดูท่าว่าผมจะโตได้มากกว่าเขาเลยทำให้รู้สึกว่าอินาโฮะตัวเล็กลงไปถนัดตา

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นายรักฉัน”

“เรื่องนั้น...ไม่รู้หรอกครับ พอรู้ตัวอีกทีคุณก็ขโมยหัวใจผมไปแล้ว แล้วคุณล่ะครับตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ก็ตั้งแต่ที่________________________

คำพูดนั้นแผ่วเบาราวเสียงกระซิบและถูกกลืนกินโดยเสียงของน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น

“นี่คุณ...! จะทำให้ผมหลงคุณมากขนาดไหนถึงจะพอใจครับ!

“แล้วแต่นายเถอะ” อินาโฮะคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เอนกายพิงอกแกร่งของคนด้านหลังอย่างพึงใจ




.
.
.
ก็ตั้งแต่ที่นายเริ่มรู้จักมอบความอ่อนโยนให้กับเชลยที่นายเกลียดนั่นแหละ










จบบริบูรณ์


















__________________________________________________


*เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมภายในแฟนฟิคเรื่องนี้ที่ไม่สามารถอธิบายได้ในเรื่องหลัก2*



[อินาโฮะ] – หลังจากหลบหนีออกจากประเทศศัตรูได้สำเร็จอินาโฮะก็เอาแต่ฝันร้ายมาตลอดจนกระทั่งได้พบหน้าสเลนอีกครั้งโดยที่คราวนี้อยู่ในฐานะสลับกันและยังคงฝันร้ายต่อๆมาจนกระทั่งกลายเป็นโรคกลัวเซ็กส์และหวาดระแวงผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้ หลังจากลาออกจากการเป็นทหารได้ผันตัวมาเป็นนักเขียนคอลัมน์และบทความลงนิตยสารต่างๆจนมีชื่อเสียงโด่งดัง อินาโฮะไม่มั่นใจในหัวใจของตัวเองรวมถึงหัวใจของสเลนจึงเลือกยื่นข้อเสนอให้ตัวเขากับสเลนห่างกันเพื่อพิสูจน์หัวใจว่าความรู้สึกในอกนี้คือความรักจริงๆหรือไม่ ในช่วงระยะเวลาเริ่มแรกอินาโฮะเอาแต่เหม่อลอยคิดถึงสเลนบ่อยๆ จนกระทั่งช่วงกลางอินาโฮะสามารถตั้งตัวได้และกลับมาเป็นปกติอีกครั้งรวมถึงหัวใจ อินาโฮะแปลกใจที่หัวใจตัวเองสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดพาลคิดไปว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้นั้นไม่ใช่ความรัก จนกระทั่งได้พบหน้าสเลนอีกครั้งความรู้สึกต่างๆที่เคยเก็บกดเอาไว้จึงพรั่งพรูออกมา หลังจากตกลงคบกับสเลนได้เปิดเผยตัวว่าตอนนี้อินาโฮะกัยสเลนเป็นแฟนกันให้กับยูกิได้รับทราบและย้ายออกมาเช่าคอนโดขนาดกลางอยู่กันสองคน ชีวิตหลังจากอยู่กินด้วยกันในตอนแรกค่อนข้างลำบากเพราะอินาโฮะยังรู้สึกหวาดระแวงสเลนอยู่ตลอดเวลาเพราะอยู่กันเพียงสองต่อสอง จนกระทั่งอินาโฮะตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาของตัวเองโดยการออนท็อปแต่ก็ล้มเหลว จนกระทั่งในที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาดแปลงเรื่องราวของตัวเองไปเป็นนิยายลงเว็บออนไลน์โดยไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนั้นมันเคยเกิดขึ้นจริงกับตัวผู้เขียนเอง และนิยายเรื่องนั้นก็ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาดจนมีสำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามาซื้อลิขสิทธ์เพื่อนำไปตีพิมพ์ เมื่อหนังสือออกวางจำหน่ายปรากฏว่ายอดขายถล่มทลาย หลังจากได้ระบายความอัดอั้นทั้งหมดออกไปจึงทำให้โรคกลัวเซ็กส์ของอินาโฮะบรรเทาลงได้นิดหน่อย แต่โรคหวาดระแวงผู้ชายทุกคนดูเหมือนปัจจุบันจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว


[สเลน] – หลังจากปล่อยให้อินาโฮะให้เป็นอิสระก็ถูกคลูเทโอ้ลงโทษอย่างรุนแรง ประจวบเหมาะกับเริ่มมีการตั้งเค้าพายุลูกใหญ่ภายในประเทศสเลนจึงถูกส่งตัวออกไปลาดตระเวนตรวจตราความเรียบร้อยและได้ไปรู้เรื่องที่ว่ามีหญิงสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งแอบปลุกระดมคนในประเทศกันอย่างลับๆให้ทำการก่อปฏิวัติ สเลนเลือกเจรจาเสนอตัวเป็นสายลับให้กับเธอเพราะเห็นทางที่จะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จและไต่เต้าขึ้นสู่จุดที่สูงยิ่งกว่าในตอนนี้ได้และยังเป็นโอกาสให้หลุดพ้นจากสายตาดูถูกดูแคลนจากพวกชั้นสูง สเลนเป็นสายลับให้กับอัสเซลัมมาตลอดจนกระทั่งในสงครามครั้งสุดท้ายก่อนที่ฝ่ายกองทัพอังคาเลียจะถอนทัพกลับไปจัดการกับความวุ่นวายภายในประเทศสเลนพลาดท่าเสียทีถูกฝ่ายศัตรูจับได้และได้และได้พบอินาโฮะอีกครั้ง สเลนถูกส่งตัวกลับประเทศเพราะสนธิสัญญาของวาร์สพร้อมกับถูกอัสเซลัมชักชวนให้มาเป็นองครักษ์ สเลนตอบตกลงและได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการแต่กระนั้นยังคงติดใจในเรื่องของอินาโฮะอยู่ เมื่อสบโอกาสที่อัสเซลัมเดินทางมายังประเทศโลกะเป็นหน้าที่ของสเลนที่ต้องตามมาคุ้มกัน สเลนได้ขอลางานเพื่อมาทำธุรส่วนตัว(ขอลามาจีบหนุ่ม) เพียงเวลาไม่กี่วันเกิดเรื่องต่างๆมากมายระหว่างเขากับอินาโฮะ และช่วงเวลาที่ทำให้เขายินดีที่สุดคือเมื่อรู้ว่าอินาโฮะถึงขนาดยอมกลับมาเป็นทหารชั่วคราวเพียงแค่เพื่อจะช่วยเหลือเขาจากผู้ก่อการร้ายแต่ทว่าความรู้สึกของสเลนก็ดิ่งลงเหวอีกครั้งเมื่ออินาโฮะยื่นข้อเสนอหกปีมาให้ ในช่วงระยะเวลาเริ่มแรกที่ต้องห่างกันสเลนเอาแต่เหม่อลอยคิดถึงอินาโฮะบ่อยๆ จนกระทั่งช่วงกลางสเลนสามารถตั้งตัวได้และกลับมาเป็นปกติอีกครั้งรวมถึงหัวใจ สเลนแปลกใจที่หัวใจตัวเองสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดพาลคิดไปว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้นั้นไม่ใช่ความรัก จนกระทั่งได้พบหน้าอินาโฮะอีกครั้งความรู้สึกต่างๆที่เคยเก็บกดเอาไว้จึงพรั่งพรูออกมา สเลนลาออกจากการเป็นองครักษ์กลายเป็นพนังงานชงเครื่องดื่มในร้านคอฟฟี่ช็อปต่อมาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการ และสเลนยังเป็นคนชวนให้อินาโฮะออกมาอยู่กันสองต่อสองตามประสาคนรัก สเลนรับรู้ได้ว่าอินาโฮะรับรู้ความต้องการเบื้องลึกของสเลนจึงพยายามกำจัดความกลัวของตัวเองเพื่อตอบสนองสเลนแต่ก็ล้มเหลว สเลนไม่คิดเร่งเร้าอินาโฮะใดๆทั้งสิ้นแต่คอยอยู่เคียงข้างและคอยปลอบโยน สเลนได้รับหนังสือนิยายเรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายจากอินาโฮะ สเลนเปิดอ่านมันครบทุกตัวอักษรนั่นทำให้สเลนได้รู้จักกับตัวตนของอินาโฮะเพิ่มขึ้น ความจริงทั้งหมดภายใต้ใบหน้าเฉยชาตลอดระยะเวลาที่ถูกจับเป็นเชลย และหลังจากนั้นมาสเลนก็รับรู้ได้ว่าสภาพจิตใจของอินาโฮะที่มีต่อเขาเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สเลนสาบานกับตนเองว่าจะเคารพและให้เกียรติ์อินาโฮะยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลกนี้


[อัสเซลัม วาร์ส อาลูเซีย] – หญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้ทุกข์ทนไม่ได้กับการเอารัดเอาเปรียบขูดรีดภาษีประชาชนจนมีแต่คนยากคนจน เธอได้ตัดสินใจรวบรวมคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกันขึ้นมาอย่างลับๆ เธอเห็นสเลนในชุดนอกเครื่องแบบมีแผลเต็มตัว(แผลที่ได้รับจากคลูเทโอ้เมื่อรู้ว่าสเลนไม่สามารถนำตัวอินาโฮะกลับมาได้) จึงเข้าใจผิดคิดว่าสเลนถูกทหารข่มเหงรวมถึงสายตาของสเลนที่จ้องมองไปยังทหารเหล่านั้นเต็มไปด้วยความคุกกรุ่นเธอจึงเข้าไปชักชวนสเลนให้เข้าคณะปฏิวัติโดยหารู้ไม่ว่าคนที่เธอชวนนั้นเป็นทหารเสียเอง สเลนตอบรับคำชวนของเธอทันทีและเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเองพร้อมยื่นข้อเสนอต่างๆ เธอมีหน้าที่หาแนวร่วมจากประชาชนส่วนสเลนมีหน้าที่หาแนวร่วมจากทหารที่ไม่พอใจในตัวองค์ราชาปัจจุบัน ชื่อเดิมของเธอคืออัสเซลัม อาลูเซีย หลังจากปฏิวัติสำเร็จเธอถูกผลักดันให้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นว่าที่องค์ราชินีแต่เนื่องจากเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงต้องบริหารบ้านเมืองในฐานะองค์หญิง ทันทีที่เธอขึ้นครองราชย์เธอได้รับนามแห่ง วาร์สมาเป็นชื่อกลางเพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้ครองราชย์ของประเทศนี้ต้องมีทุกคน นามของเธอจึงถูกเปลี่ยนเป็นอัสเซลัม วาร์ส อาลูเซีย หลังจากทำสนธิสัญญากับประเทศโลกะและได้ตัวสเลนกลับมาเธอได้ชักชวนให้สเลนมาเป็นองครักษ์ของเธอเพราะคนที่คอยช่วยเหลือเธอคอยแก้ไขปัญหาต่างๆให้เธอจนเธอมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ทั้งหมดเป็นเพราะสเลนและคนที่เธอไว้ใจมากที่สุดคือสเลนนั่นเอง


[เคาท์คลูเทโอ้] – เสียชีวิตภายในสงครามครั้งสุดท้ายเพราะปกป้องสเลนที่พลาดท่าจากระเบิดของศัตรู ก่อนตายเขาได้รำพึงชื่อของอดีตเชลยที่หนีไปทำให้เขาได้รู้ตัวว่าความจริงแล้วเขาตกหลุมรักอินาโฮะตั้งแต่แรกเห็นก่อนลมหายใจจะดับลง


[เคาท์ซาสบาล์ม] – ถูกสเลนฆ่าตายด้วยการวางยาเนื่องจากระแคะระคายพฤติกรรมของสเลนว่าอาจเป็นสายให้แก่พวกคณะปฏิวัติ ซาสบาล์มได้เชิญสเลนเข้าร่วมดินเนอร์หลังจากแน่ใจแล้วว่าสเลนกลายเป็นกบฎ สเลนได้อาสารินชาให้เคาท์ซาสบาล์มโดยแอบใส่ยาพิษเอาไว้ซึ่งเคาท์ซาสบามล์มเองก็รู้ตัวแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้และยอมดื่มชาผสมยาพิษเข้าไปเพราะหากคิดว่าตายด้วยน้ำมือของคนที่ตนเองรักนั้นก็ยินดี คำพูดสุดท้ายก่อนตายของเขาคือการสารภาพรักกับสเลนแล้วสิ้นลมหายใจไปในทันที สเลนที่เห็นซาสบาล์มตายแน่แล้วจึงเอ่ยวาจาจากใจว่าไม่ได้รักเคาท์ซาสบาล์มเลยแม้แต่น้อย และที่สเลนไม่พูดต่อหน้าซาสบาล์มที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเพราะว่าถือเป็นการขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา


[ยูกิ] – เมื่ออินาโฮะและสเลนได้มาสารภาพว่าตอนนี้ทั้งคู่เป็นแฟนกันแล้วยูกิไม่แปลกใจเท่าไหร่นักเพราะบางครั้งเธอก็สังเกตเห็นว่าสายตาของสเลนที่มองอินาโฮะนั้นไม่ธรรมดา เธอยอมอนุญาตให้ทั้งคู่ไปใช้ชีวิตคู่กันแต่ก็กำชับว่าทั้งคู่ต้องมาเยี่ยมเธอสัปดาห์ละครั้ง


[มาริโตะ] – ชายผู้คอยดูแลเหล่าพี่น้องไคสึกะอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ




__________________________________________________


Talk : ในที่สุดเรื่องราวเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงจุดจบแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็น Short FanFiction เพราะรวมความยาวทั้งภาค1และ2 มันใช้ความยาวถึง 59 หน้า!! แล้วก็ไม่อยากเชื่อด้วยว่าตัวเองจะเขียนจบ!!! แล้วก็ต้องขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ทุกๆกำลังใจที่มีให้ค่ะไม่ว่าจะคนที่เจอบล็อกนี้มาตั้งแต่แรก คนที่ตามเรื่องนี้มาจากเด็กดี หรือคนที่ตามมาจากแฟนเพจ ยังไงก็ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจค่ะ และสุดท้ายนี้หากมีเรื่องอะไรสงสัยหรือเนื้อหาตรงส่วนไหนไม่เคลียร์เกี่ยวกับ ฟิค Aldnoah.Zero : In ThE (Bed)RooM ก็สอบถามเข้ามาได้ค่ะยินดีตอบทุกคำถาม ^^














3 ความคิดเห็น: